SSI earned Bt.1.47 billion baht in Q1/2010 due to the increases of sales volume and price as well as high rolling margin, while WCE and PPC, two affiliates, and TCRSS, JV company, also posted excellent results. Hits quarterly production and shipment new record, on track to 2.7 million tons sales volume and 50 billion baht revenue target.
Mr. Win Viriyaprapaikit, President of Sahaviriya Steel Industries PLC(“SSI”) reveals that in Q1/2010 the Company and its subsidiaries realized total revenues of Bt.13.976 billion and revenue from sales of hot-rolled coil of Bt.13.677 billion, up 105% and 106% year-on-year over Q1/2009, which were Bt.6.820 billion and Bt.6.654 billion respectively. Sales revenue consists of Bt.12.334 billion domestic sales and Bt.1.343 billion export sales, representing 115% and 48% year-on-year increase compared to Bt.5.747 billion and Bt.0.907 billion in the same period last year.
Volume-wise, SSI sold 91% on domestic market and 9% on export markets. Sales of Premium Value Products accounted for 44% of total sales volume. The Company realized a net profit of Bt. 1.47 billion, or 178% up from a net loss of Bt.1.878 billion in Q1/2009.
“This strong result was attributed to 1. higher sales volume due to expanded domestic market share, a strong recovery of automobile sector (the latest figures of domestic car production reported by The Federation of Thai Industries amounted to 380,000 units in Q1, or 92% up from the same period last year), and improvement of customer service together with sales promotion initiatives such as “product co-development program with customers”, 2. higher selling price per unit by 4% quarter-on-quarter following a price hike of steel products in the world market, 3. reduction of production cost per unit by 9% from 2009 level, and 4. high rolling margin.” Mr. Win said.
Mr. Win also added that “the Company is gaining more trusts from our customers as we successfully increased order quantity and added new customers. In the first quarter, we were able to add three new customers and delivered three new products into the market. We believe that the pursuant of our purpose ‘Innovate Premium Value steel products and services for customer; generate consistent profit and sustainable value for stakeholders’ under the Company’s new business plan, will bring the Company success in sustainable way over the long term.
In Q1, the Company marked a new record of quarterly production and shipment at 689,831 tons and 679,049 tons, which were the highest among Thai steel companies, beating its previous records of quarterly production of 655,565 tons in Q4/2009 and quarterly shipment of 556,068 tons in Q2/2006 respectively. In 2010, the Company targets at 2.7 million tons of production and shipment, and Bt.50 billion of sales revenue.
In addition, the Company’s jointly-controlled entity and subsidiaries posted positive operating results in Q1 and delivered good return to SSI. SSI has enjoyed direct benefits from Thai Cold Rolled Steel Sheet PLC (“TCRSS”), its jointly-controlled entity, through closed marketing cooperation which help boost sales volume and reduce inventory cycle for both SSI and TCRSS; in Q1 SSI realized net profit from investment in TCRSS of Bt. 53.5 million following strong recovery of automobile sector. West Coast Engineering Co., Ltd. (“WCE”) also reported a net profit of Bt.11 million in Q1 and continues to grow with orders backlog with both internal and external customers such as Esso (Thailand) Co., Ltd., The Cement Business of SCG Group, Thai Kraft Paper Industry Co., Ltd., Howden Australia PTY Ltd., Cristalla Engineering Co., Ltd., GFA Anlagengan GmbH, and etc. Prachuap Port Co., Ltd (“PPC”) realized a net profit in Q1 of Bt. 54 million.
Recent recovery of global and domestic steel industry has been supported by strong demand, rising consumer confidence, and growth in down-stream industries particularly the automobile and energy sectors such as gas cylinder, gas pipe, and transformers, which use high-grade steel sheets as raw materials. Steel price is expected to rise further due to supply constrain as a result of production cut of major producers worldwide, and rising cost of raw materials such as iron ore and coal.”
SSI ไตรมาสแรกยอดขายพุ่งสูงสุด 106 % กำไร 1,470 ล้าน
คาดปีนี้ผลิตทะลุ 2.7 ล้านตัน-รายได้ขาย 50,000 ล้าน
เอสเอสไอประกาศผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2553 กำไร 1,470 ล้านบาท จากยอดขายและราคาขายที่เพิ่มสูงขึ้นรวมถึงค่าการรีดที่ยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่บริษัทย่อยและบริษัทร่วมผลการดำเนินงานที่น่าพอใจทั้ง WCE, PPC และ TCRSS มั่นใจปีนี้บรรลุเป้าหมายผลิตและส่งมอบที่ 2.7 ล้านตัน และยอดขาย 50,000 ล้านบาท หลังทุบสถิติยอดการผลิตและส่งมอบผลิตภัณฑ์สูงสุดเป็นประวัติการณ์ คาดตลาดเหล็กยังสดใส
นายวิน วิริยประไพกิจ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ เอสเอสไอเปิดเผยผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในไตรมาสที่ 1 ปี 2553 ว่ามีการขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งด้านรายได้จากการขาย และกำไรสุทธิ เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2552 โดยบริษัทและบริษัทย่อย มีรายได้รวม 13,976 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากการขายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน จำนวน 13,677 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 105 และ 106 เมื่อเทียบกับรายได้รวม 6,820 ล้านบาท และรายได้จากการขายจำนวน 6,654 ล้านบาทในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2552 รายได้จากการขายดังกล่าว แบ่งออกเป็นรายได้จากการจำหน่ายในประเทศจำนวน 12,334 ล้านบาท และรายได้จากการส่งออกจำนวน 1,343 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 115 และร้อยละ 48 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2552 ที่มีรายได้จากการขายภายในประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 5,747 ล้านบาท และรายได้จากการส่งออกจำนวน 907 ล้านบาทตามลำดับ
สำหรับสัดส่วนในการจัดจำหน่ายนั้น บริษัทฯ มีปริมาณการจำหน่ายในประเทศคิดเป็นร้อยละ 91 และต่างประเทศร้อยละ 9 ตามลำดับ แบ่งเป็น Premium Value Products (ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มกับลูกค้า) ร้อยละ 44 ของปริมาณการขายรวม โดยบริษัทมีผลกำไรสุทธิ 1,470 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 178 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2552 ซึ่งมีผลขาดทุนจำนวน 1,878 ล้านบาท
นายวินกล่าวว่า ผลกำไรที่เพิ่มขึ้นนี้ มาจาก 1. ปริมาณยอดขายที่เพิ่มขึ้น อันเนื่องจากได้ส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น การเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ซึ่ง ล่าสุดสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยรายงาน ยอดการผลิตรถยนต์ในประเทศไตรมาสแรกสูงสุดถึง 3.8 แสนคัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 92 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน การบริการลูกค้าที่รวดเร็วมีประสิทธิภาพ และกลยุทธในการส่งเสริมการขายของฝ่ายธุรกิจการค้า อาทิการร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ของลูกค้า 2. ราคาขายที่เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 4 จากไตรมาส 4/2552 เนื่องจากการฟื้นตัวของตลาดโลก 3. บริษัทสามารถลดต้นทุนการผลิตต่อหน่วยจากปริมาณการผลิตได้ถึงร้อยละ 9 เมื่อเปรียบเทียบกับต้นทุนการผลิตต่อหน่วยเฉลี่ยของปี 2552 และ 4. ค่าการรีด (Rolling Spread) อยู่ในระดับสูง
“ในไตรมาสแรกบริษัทได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าเพิ่มมากขึ้นทั้งในด้านปริมาณการซื้อผลิตภัณฑ์และจำนวนลูกค้าโดย บริษัทมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น 3 ราย และ พัฒนาผลิตภัณฑ์เหล็กแผ่นรีดร้อนใหม่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า 3 ชนิด ซึ่งทำให้บริษัทมีความมั่นใจว่าการดำเนินการแผนธุรกิจตามแนวทางของวิสัยทัศน์ใหม่ คือ“สร้างสรรค์นวัตกรรมผลิตภัณฑ์เหล็กและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มกับลูกค้า สร้างกำไรสม่ำเสมอ สร้างผลตอบแทนแก่ผู้มีส่วนได้เสียอย่างยั่งยืน” จะทำให้บริษัทบรรลุวัตถุประสงค์เชิงธุรกิจในทุกๆด้าน” กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสเอสไอกล่าว
ทั้งนี้ในไตรมาส 1/2553 บริษัทสามารถผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนได้ทั้งสิ้น 689,831 ตันนับเป็นยอดผลิตรายไตรมาสสูงสูดของบริษัทและของบริษัทเหล็กในประเทศไทย จากสถิติยอดการผลิตสูงสุด 655,565 ตันในไตรมาสที่ 4 /2552 บริษัทมีปริมาณส่งมอบผลิตภัณฑ์ 679,049 ตัน ซึ่งเป็นปริมาณการส่งมอบผลิตภัณฑ์รายไตรมาสสูงสูดของบริษัทและของบริษัทเหล็กในประเทศไทยเช่นเดียวกัน จากสถิติปริมาณการส่งมอบสูงสุด 556,068 ตันในไตรมาสที่ 2 /2549 ทั้งนี้ ในปี 2553 เอสเอสไอตั้งเป้าหมายการผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนและส่งมอบให้กับลูกค้า 2.7 ล้านตัน และมียอดขาย 50,000 ล้านบาท
ในส่วนของบริษัทร่วมทุน และ บริษัทย่อยของเอสเอสไอนั้นล้วนประสบผลสำเร็จในการดำเนินธุรกิจในไตรมาสแรกและได้สร้างผลตอบแทนคืนสู่เอสเอสไอ โดยในส่วนของ บริษัท เหล็กแผ่นรีดเย็นไทย จำกัด (มหาชน) (TCRSS) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุน เอสเอสไอได้รับประโยชน์โดยตรงจากความร่วมมือด้านการตลาดที่ช่วยกระตุ้นยอดขาย และลดระดับสินค้าคงคลังของทั้งสองบริษัทให้ต่ำลง ในไตรมาสที่ 1/2553 บริษัทรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก TCRSS 53.5 ล้านบาท เนื่องจากการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์และรับรู้ผลการดำเนินงานบริษัทย่อย คือ บริษัท เวสท์โคสท์เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (WCE) มีผลกำไรจากการดำเนินงาน 11 ล้านบาท และมั่นใจว่าดีขึ้นอีกจากปริมาณงานวิศวกรรมบริการทั้งจากลูกค้าภายในกลุ่มและลูกค้าภายนอกที่มีศักยภาพ และเป็นบริษัทชั้นนำระดับประเทศจำนวนเพิ่มมากขึ้น 10 ราย อาทิ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย), กลุ่มธุรกิจซิเมนต์ เอสซีจีกรุ๊ป บริษัท ,อุตสาหกรรมกระดาษคราฟท์ไทย Howden Australia PTY Ltd. ,บริษัท คริสตอลลา เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด , GFA Anlagenban GmbH เป็นต้น และบริษัท ท่าเรือประจวบ จำกัด (PPC) ที่มีผลกำไรจากการดำเนินงาน 54 ล้านบาท
สำหรับภาวะอุตสาหกรรมเหล็กโลกและภายในประเทศนั้นกำลังฟื้นตัวจากปริมาณความต้องการบริโภคที่เพิ่มมากขึ้น ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเริ่มกลับมา การเติบโตของอุตสาหกรรมต่อเนื่อง อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ และ อุตสาหกรรมพลังงาน อาทิ ถังก๊าซ ท่อก๊าซ และหม้อแปลง อุตสาหกรรมเหล่านี้มีความต้องการใช้เหล็กแผ่นที่มีคุณภาพพิเศษเป็นวัตถุดิบในการผลิต ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดสินค้าเหล็กแผ่นชั้นคุณภาพพิเศษให้เติบโตตามไปด้วย ส่วนราคาเหล็กมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากการลดกำลังการผลิตของผู้ผลิตเหล็กทั่วโลก และราคาสินแร่เหล็กและถ่านโค้กที่ปรับตัวสูงขึ้น