• Steel Sales Volume  871 thousand tons
  • Total Revenue from Sales and Services 11,867 million Baht
  • Standalone net loss 222 million Baht; Consolidated net loss  3,236 million Baht in Q2/2015
  • Standalone EBITDA 334 million Baht; Consolidated negative EBITDA 1,777 million Baht in Q2/2015

Sahaviriya Steel Industries Plc. (SSI) reports its second quarter of 2015 result as follows:

Standalone Financial Statement – The Company recorded sales and service revenues 5,252 million Baht (down 4% QoQ and down 39% YoY); HRC Sales Volume 307k tons (up 11% QoQ). Premium Value Products (PVPs) contributed to 44% of total HRC Sales Volume, which is the highest quarterly PVPs Sales Volume proportion. The Company recorded EBITDA 334 million Baht and net loss 222 million Baht (improving from net loss 865 million Baht QoQ but down from net profit 27 million Baht YoY).

Consolidated Financial Statements – The Company and its subsidiaries recorded sales and service revenues 11,867 million Baht (up 8% QoQ from a19% QoQ increase in sales to 3rd party customers; and down 34% YoY from a 39% YoY decrease in HRC Sales Volume and a 30% YoY decrease in Slab Sales Volume to 3rd party of Upstream Business). Group EBITDA was negative 1,777 million Baht and net loss was 3,236 million Baht (higher loss from net loss 3,026 million Baht QoQ and from net loss 1,406 million Baht YoY).

Performance of Subsidiaries and Jointly-controlled Entities in Q2/2015:

  • Upstream Business recorded sales and service revenues 7,780 million Baht (down 12% QoQ and 31% YoY); negative EBITDA 2,177 million Baht (higher loss from negative EBITDA 1,252 million Baht QoQ and negative EBITDA 531 million Baht YoY); and net loss 3,045 million Baht (higher loss from net loss 2,073 million Baht QoQ and net loss 1,347 million Baht YoY).
  • Port Business recorded total service revenues 67 million Baht (up 9% QoQ and 13% YoY); and net profit 20 million Baht (up 106% QoQ and 212% YoY).
  • Engineering Business recorded total sales and service revenues 167 million Baht (up 5% QoQ but down 27% YoY). Sales and service revenues to external customers, apart from the Company and its subsidiaries, were 70% of total.  Net profit was 1 million Baht (improving 115% QoQ and 102%YoY).
  • Cold Rolled Coil Business recorded total sales 2,807 million Baht (down 7% QoQ and 11% YoY) and net profit 61 million Baht (up 278% QoQ and 966% YoY).

Mr. Win Viriyaprapaikit, Group CEO and President of Sahaviriya Steel Industries Plc. (SSI), stated that “Though the EBITDA loss in Q2/2015 is similar to Q1/2015, the narrative is quite different.  There was significant improvement in the HRC Business in Q2 – HRC Sales Volume grew 11% to 307k tons, Premium Value Products ratio reached 44% highest record, and HRC EBITDA turned around from negative $38.6/ton to positive $32.4/ton as we had consumed most of the high-cost raw materials (from the first quarter) and started to consume cheaper raw materials.  In Q3, we expect to see this improving trend continue and a return to profitability then.”

“The market conditions for the Upstream Business continued to be extremely challenging. China’s steel export is at all-time high, owing to its severe over-capacity problem, slowing economy, and also the distorting export tax rebate system.  This is causing problems to the steel industry globally and depressing margins everywhere. The compressing margins are significantly bigger than the gains from our cost reduction effort, therefore we will unfortunately continue to struggle for the time being.”

“Though the steel industry is in turmoil, we are not disheartened.  We believe that our focus on innovation to create value for our customers and better margins, and our focus on integration between our various businesses and production assets to achieve economy of scale and lower cost, will yield improving financial result.  That is what we are here for and we remain committed to our vision,” Mr. Win said.

บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน)
รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2558

  • ปริมาณขายเหล็กรวม 871 พันตัน
  • รายได้จากการขายและให้บริการรวม 11,867 ล้านบาท
  • ขาดทุนสุทธิ (งบเดี่ยว) 222 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ (งบรวม) 3,236 ล้านบาท
  • มี EBITDA (งบเดี่ยว) 334 ล้านบาท EBITDA กลุ่ม (งบรวม) ติดลบ 1,777 ล้านบาท

 บริษัท สหวิริยาสตลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ เอสเอสไอ รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2558 ดังนี้
             งบการเงินเฉพาะบริษัท – บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 5,252 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 4 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 39 จากงวดเดียวกันปีก่อน) โดยมีปริมาณขายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน 307 พันตัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 จากไตรมาสก่อน) โดยเป็นการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มพิเศษ (Premium Value Products: PVPs) ร้อยละ 44 ของปริมาณขายรวม ซึ่งเป็นสัดส่วนการขาย PVPs สูงสุดเท่าที่เคยมีมา  มี EBITDA 334 ล้านบาท และมีผลขาดทุนสุทธิ 222 ล้านบาท (โดยผลประกอบการดีขึ้นจากขาดทุนสุทธิ 865 ล้านบาทในไตรมาสก่อน แต่ลดลงจากกำไรสุทธิ 27 ล้านบาทในงวดเดียวกันปีก่อน)
               งบการเงินรวม – บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 11,867 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 จากไตรมาสก่อน จากยอดขายของธุรกิจโรงถลุงเหล็กให้แก่บุคคลภายนอกที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 19 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 34 จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากยอดขายของธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อนที่ลดลงร้อยละ 39 จากงวดเดียวกันปีก่อน และยอดขายของธุรกิจโรงถลุงเหล็กให้แก่บุคคลภายนอกที่ลดลงร้อยละ 30 จากงวดเดียวกันปีก่อน) Group EBITDA ติดลบ 1,777 ล้านบาท มีผลขาดทุนสุทธิ 3,236 ล้านบาท (ขาดทุนเพิ่มขึ้นจากผลขาดทุนสุทธิ 3,026 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน และจากผลขาดทุนสุทธิ 1,406 ล้านบาทจากงวดเดียวกันปีก่อน)   

สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2/2558 ของบริษัทย่อยและกิจการที่ควบคุมร่วมกัน มีดังต่อไปนี้

  • ธุรกิจโรงถลุงเหล็ก มีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 7,780 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 12 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 31 จากงวดเดียวกันปีก่อน) EBITDA ติดลบ 2,177 ล้านบาท (ติดลบเพิ่มขึ้นจาก EBITDA ติดลบ 1,252 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน และจาก EBITDA ติดลบ 531 ล้านบาทจากงวดเดียวกันปีก่อน) มีผลขาดทุนสุทธิ 3,045 ล้านบาท (ขาดทุนเพิ่มขึ้นจากขาดทุนสุทธิ 2,073 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน และจากขาดทุนสุทธิ 1,347 ล้านบาทจากงวดเดียวกันปีก่อน)
  • ธุรกิจท่าเรือ มีรายได้จากการให้บริการรวม 67 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 13 จากงวดเดียวกันปีก่อน) มีกำไรสุทธิ 20 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 106 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 212 จากงวดเดียวกันปีก่อน)
  • ธุรกิจวิศวกรรม มีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 167 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากไตรมาสก่อน แต่ลดลงร้อยละ 27 จากงวดเดียวกันของปีก่อน) เป็นรายได้นอกกลุ่มร้อยละ 70 และมีผลกำไรสุทธิ 1  ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 115 จากไตรมาสก่อน และผลประกอบการปรับตัวดีขึ้นร้อยละ 102 จากงวดเดียวกันปีก่อน)
  • ธุรกิจเหล็กแผ่นรีดเย็น มีรายได้จากการขายรวม 2,807 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 7 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 11 จากงวดเดียวกันปีก่อน) มีผลกำไรสุทธิ 61 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 278 และร้อยละ 966 จากงวดเดียวกันปีก่อน)

นายวิน วิริยประไพกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม และกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสเอสไอ กล่าวว่า “แม้ว่า EBITDA ในไตรมาส 2/2558 ติดลบเช่นเดียวกันกับไตรมาส 1/2558 แต่เรื่องราวแตกต่างกันมาก มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อนในไตรมาสที่ 2 นั่นคือปริมาณขายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนเพิ่มขึ้นร้อยละ 11 เป็น 307 พันตัน ยอดขายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มพิเศษ (Premium Value Products: PVPs) บรรลุสัดส่วนการขายสูงสุดร้อยละ 44 และ EBITDA พลิกกลับมาจากติดลบ 38.6 เหรียญสหรัฐต่อตันเป็นบวก 32.4 เหรียญสหรัฐต่อตัน จากการที่เราได้ใช้วัตถุดิบที่มีต้นทุนสูง (จากไตรมาสแรก) ไปเกือบทั้งหมด และเริ่มที่จะใช้วัตถุดิบที่มีต้นทุนถูกลง ในไตรมาสที่ 3 ปีนี้ เราคาดว่าจะเห็นแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและผลตอบแทนในการทำกำไร”

“สำหรับสภาวะตลาดของธุรกิจโรงถลุงเหล็กยังคงมีความท้าทายอย่างมาก ปริมาณการส่งออกเหล็กของจีนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากปัญหากำลังการผลิตที่ล้นเกินความต้องการอย่างรุนแรง การชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และระบบคืนภาษีส่งออกที่บิดเบือน ได้สร้างปัญหากับอุตสาหกรรมเหล็กทั่วโลก และกดดันอัตรากำไรให้ตกต่ำลงทุกที่ ส่วนต่างราคาได้ลดลงมากกว่าค่าใช้จ่ายที่เราลดลงมาได้อย่างมีนัยสำคัญ ฉะนั้นเรายังคงต้องฝ่าฟันความท้าทายเหล่านี้ไปอีกช่วงหนึ่ง”  

“แม้ว่าอุตสาหกรรมเหล็กยังคงอยู่ในความปั่นป่วน เราจะไม่ละความพยายาม เราเชื่อว่าการที่เรามุ่งเน้นนวัตกรรมเพื่อสร้างมูลค่าให้กับลูกค้าและส่วนต่างราคาที่ดีกว่า รวมทั้งมุ่งเน้นการบูรณาการธุรกิจต่าง ๆ และสินทรัพย์ในการผลิตของเรา เพื่อให้มีการประหยัดจากขนาดและต้นทุนที่ต่ำกว่าจะทำให้ผลการดำเนินงานดีขึ้น นี่คือวัตถุประสงค์ของเราและเรายังคงมุ่งมั่นดำเนินการตามวิสัยทัศน์ของเราต่อไป” นายวินกล่าว