• Steel Sales Volume at 718 thousand tons
  • Total Revenue from Sales and Services 11,023 million Baht
  • Standalone net loss 865 million Baht; Consolidated net loss 3,026 million Baht
  • Standalone negative EBITDA 350 million Baht; Consolidated negative EBITDA 1,654 million Baht

Sahaviriya Steel Industries Plc. (SSI) reports its first quarter of 2015 result as follows:

Standalone Financial Statement – The Company recorded sales and service revenues 5,446 million Baht (down 6% QoQ and down 46% YoY); HRC Sales Volume 278 k tons (up 4% QoQ but down 40% YoY). Premium Value Products (PVPs) contributed to 41% of total HRC Sales Volume. The Company recorded negative EBITDA 350 million Baht; and net loss 865 million Baht (bigger loss from net loss 757 million Baht QoQ and down from net profit 347 YoY).

Consolidated Financial Statements – The Company and its subsidiaries recorded sales and service revenues 11,023 million Baht (down 22% QoQ and down 42% YoY from a decrease in HRC Sales Volume of HRC Business 6% QoQ and 46% YoY, as well as, a 35% QoQ and 38% YoY decrease in Slab Sales Volume to 3rd party of Upstream Business); negative Group EBITDA 1,654 million Baht; and net loss 3,026 million Baht (higher loss from 1,552 million Baht QoQ and higher loss from 1,397 million Baht YoY).

Performance of Subsidiaries and Jointly-Controlled Entities in Q1/2015:

  • Upstream Business recorded sales and service revenues 8,816 million Baht (down 24% QoQ and 30% YoY); negative EBITDA 1,252 million Baht (down from positive EBITDA 29 million Baht QoQ and negative EBITDA 883 million Baht YoY); and net loss 2,073 million Baht (higher loss from net loss 843 million Baht QoQ and net loss 1,701 million Baht YoY).
  • Port Business recorded total service revenues 61 million Baht (down 23% QoQ and down 9% YoY); and net profit 10 million Baht (down 60% QoQ and down 27% YoY).
  • Engineering Business recorded total sales and service revenues 160 million Baht (up 5% QoQ but down 28% YoY). Sales and service revenues to external customers, apart from the Company and its subsidiaries, were 74% of total.  Net loss was 5 million Baht (smaller loss 64% QoQ but higher loss 397% YoY).
  • Cold Rolled Coil Business recorded total sales 3,031 million Baht (down 8% QoQ) and net loss 34 million Baht (down 147% QoQ from net profit but smaller loss 69% YoY).

Mr. Win Viriyaprapaikit, Group CEO and President of Sahaviriya Steel Industries Plc. (SSI), stated that “The market conditions in the first quarter had been extremely challenging and the worst we have seen in recent years.  Subsidized steel export volume from China remained high due to the country’s severe over-capacity problem and slowing economy, and the Russian Ruble extraordinary depreciation gave Russian steel exporters a currency advantage. This is clearly an unfair trade situation, and we are working together with other domestic steelmakers and trade associations to petition to government for immediate action to level the playing field.”

“Despite the good achievement by our team in some areas, such as achieving record 135 kg/thm PCI Injection rate in the Upstream Business and 41% PVP ratio in the HRC Business, the overall market drop was the main negative factor driving the business into negative Core EBITDA of Baht 1,276 million.  We also prudently set aside another Baht 378 million stock-loss provision to reflect the current market situation.”

“The near-term market outlook starts to show signs of turn-around.  After 7 months of continuous price decrease in all markets globally, there are now positive signs in some market.  Recent price hike for some products in US, Northern European and Turkish markets is successful.  Crude oil, iron ore and scrap are firmly trading higher providing backwinds to the market.  We expect sales volume to recover partially in the second quarter and spread to recover in the third quarter, when we expect to return to profitability.”

บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน)
รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2558

  • ปริมาณขายเหล็กรวมรายไตรมาส 718 พันตัน
  • รายได้จากการขายและให้บริการรายไตรมาสรวม 11,023 ล้านบาท
  • ขาดทุนสุทธิ (งบเดี่ยว) 865 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ (งบรวม) 3, 026 ล้านบาท
  • EBITDA (งบเดี่ยว) ติดลบ 350 ล้านบาท EBITDA กลุ่ม (งบรวม) ติดลบ 1,654 ล้านบาท

          บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ เอสเอสไอ รายงานผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1/2558 ดังนี้

          งบการเงินเฉพาะบริษัท – บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 5,446 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 6 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 46 จากงวดเดียวกันปีก่อน) โดยมีปริมาณขายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน 278 พันตัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากไตรมาสก่อน แต่ลดลงร้อยละ 40 จากงวดเดียวกันปีก่อน) โดยเป็นการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มพิเศษ (Premium Value Products) ร้อยละ 41 ของปริมาณขายรวม EBITDA ติดลบ 350 ล้านบาท และมีผลขาดทุนสุทธิ 865 ล้านบาท (ขาดทุนเพิ่มขึ้นจากขาดทุนสุทธิ 757 ล้านบาทในไตรมาสก่อน และลดลงจากกำไรสุทธิ 347 ล้านบาทในงวดเดียวกันปีก่อน)

          งบการเงินรวม – บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 11,023 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 22 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 42 จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากยอดขายของธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อนที่ลดลงร้อยละ 6 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 46 จากงวดเดียวกันปีก่อน และยอดขายของธุรกิจโรงถลุงเหล็กให้แก่บุคคลภายนอกที่ลดลงร้อยละ 35 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 38 จากงวดเดียวกันปีก่อน) Group EBITDA ติดลบ 1,654 ล้านบาท มีผลขาดทุนสุทธิ 3,026 ล้านบาท (ขาดทุนเพิ่มขึ้นจากผลขาดทุนสุทธิ 1,552 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน และจากผลขาดทุนสุทธิ 1,397 ล้านบาทจากงวดเดียวกันปีก่อน)

          สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1/2558 ของบริษัทย่อยและกิจการที่ควบคุมร่วมกัน มีดังต่อไปนี้

  • ธุรกิจโรงถลุงเหล็ก มีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 8,816 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 24 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 30 จากงวดเดียวกันปีก่อน) EBITDA ติดลบ 1,252 ล้านบาท (ลดลงจาก EBITDA เป็นบวก 29 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน และจาก EBITDA ติดลบ 883 ล้านบาทจากงวดเดียวกันปีก่อน) มีผลขาดทุนสุทธิ 2,073 ล้านบาท (ขาดทุนเพิ่มขึ้นจากขาดทุนสุทธิ 843 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน และจากขาดทุนสุทธิ 1,701 ล้านบาทจากงวดเดียวกันปีก่อน)
  • ธุรกิจท่าเรือ มีรายได้จากการให้บริการรวม 61 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 23 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 9 จากงวดเดียวกันปีก่อน) มีกำไรสุทธิ 10 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 60 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 27 จากงวดเดียวกันปีก่อน)
  • ธุรกิจวิศวกรรม มีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 160 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากไตรมาสก่อน แต่ลดลงร้อยละ 28 จากงวดเดียวกันปีก่อน) เป็นรายได้นอกกลุ่มร้อยละ 74 และมีผลขาดทุนสุทธิ 5 ล้านบาท (ขาดทุนลดลงร้อยละ 64 จากไตรมาสก่อน แต่ขาดทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 397 จากงวดเดียวกันปีก่อน)
  • ธุรกิจเหล็กแผ่นรีดเย็น มีรายได้จากการขายรวม 3,031 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 8 จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 จากงวดเดียวกันปีก่อน) ขาดทุนสุทธิ 34 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 147 จากผลกำไรสุทธิในไตรมาสก่อน แต่ขาดทุนลดลงร้อยละ 69 จากงวดเดียวกันปีก่อน)

          นายวิน วิริยประไพกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสเอสไอ กล่าวว่า “สภาวะตลาดในช่วงไตรมาสแรกมีความท้าทายอย่างมากและยากลำบากที่สุดที่เราได้พบในหลายปีที่ผ่านมา ปริมาณการส่งออกเหล็กที่ได้รับการอุดหนุนจากประเทศจีนยังคงสูงจากปัญหากำลังการผลิตล้นและการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ค่าเงินสกุลรูเบิลรัสเซียที่ตกต่ำอย่างผิดปกติได้ส่งผลให้ผู้ส่งออกเหล็กของรัสเซียได้เปรียบ นี่เป็นสถานการณ์การค้าที่ไม่เป็นธรรมและเรากำลังทำงานร่วมกับผู้ผลิตเหล็กในประเทศรายอื่น ๆ และสมาคมการค้าต่างๆ ที่จะยื่นคำร้องต่อรัฐบาลในการออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อสร้างความเท่าเทียมในการแข่งขัน”

          “แม้เราจะประสบความสำเร็จที่ดีโดยทีมงานของเราในบางเรื่อง เช่น การบรรลุอัตราการใช้ PCI สูงสุดที่ 135 กิโลกรัมต่อตันของธุรกิจโรงถลุงเหล็ก และยอดขายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มพิเศษ (Premium Value Products:  PVP) ร้อยละ 41 ของธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อน  แต่ตลาดโดยรวมชะลอตัวลง ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันธุรกิจให้มี EBITDA หลักติดลบ 1,276 ล้านบาท นอกจากนี้เราได้ดำเนินการอย่างระมัดระวังโดยการตั้งค่าเผื่อการลดมูลค่าของสินค้าคงเหลือและตั้งสำรองจากภาระผูกพันตามสัญญาการซื้อวัตถุดิบอีก 378 ล้านบาทเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ตลาดปัจจุบัน”

           “สำหรับแนวโน้มตลาดระยะสั้นเริ่มแสดงสัญญาณการฟื้นตัว  หลังจากที่ราคาลดลงอย่างต่อเนื่องในทุกตลาดทั่วโลกติดต่อกันถึง  7 เดือน ขณะนี้เริ่มมีสัญญาณบวกในบางตลาด มีการปรับขึ้นราคาล่าสุดสำหรับผลิตภัณฑ์บางประเภทในสหรัฐอเมริกา ตลาดยุโรปตอนเหนือ และตุรกี ส่วนน้ำมันดิบ แร่เหล็กและเศษเหล็กมีแนวโน้มราคาสูงขึ้นซึ่งเป็นแรงผลักดันตลาด เราคาดว่าปริมาณขายจะกลับมาบางส่วนในไตรมาสสอง และส่วนต่างราคาจะกลับมาสู่ระดับปกติในไตรมาสสามที่เราคาดว่าจะกลับมามีกำไร”