• Consolidated revenue from sales and services totaled 18,051 million Baht, Steel Sales Volume 902 thousand tons in Q2/2014
  • Standalone net profit 27 million Baht, Consolidated net loss 1,406 million Baht in Q2/2014
  • Standalone net profit 374 million Baht, Consolidated net loss 2,803 million Baht for H1 2014
  • HRC Business has 42% Premium Value Products sales ratio
  • Upstream Business has net loss 1,374 million Baht, but recorded first monthly positive EBITDA in June 2014 since its acquisition in 2011

 Sahaviriya Steel Industries Plc. (SSI) reports its second quarter and first half of 2014 as follows:

 Q2/2014 Result

Standalone Financial Statement – The Company recorded sale and service revenues 8,602 million Baht (up 15% QoQ and down 1% YoY); HRC Sales Volume 384 k tons (down 17% QoQ and down 6% YoY); 42% Premium Value Products sales ratio of total HRC Sales Volume; EBITDA 586 million Baht (down 39% QoQ and down 198% YoY); and Net Profit of 27 million Baht (down 92% QoQ but up 106% YoY).

Consolidated Financial Statements – The Company and its subsidiaries recorded sale and service revenues 18,051 million Baht (down 5% QoQ but up 44% YoY). Steel Sales Volume was 902 thousand tons; Group EBITDA 0.3 million Baht (down 100% QoQ but up 100% YoY); and Net Loss 1,406 million Baht (smaller loss 1% QoQ and bigger loss  202% YoY).

6 Months/2014 Results

Standalone Financial Statement – The Company recorded sale and service revenues 18,772 million Baht (down 23% YoY); HRC Sales Volume 846 k tons (down 24% YoY); 40% Premium Value Products sales ratio of total HRC Sales Volume; EBITDA 1,548 million Baht (down 14% YoY); and Net Profit of 374 million Baht (down 5% YoY).

Consolidated Financial Statements – The Company and its subsidiaries recorded sale and service revenues 37,062 million Baht (up 14% YoY).  Steel Sales Volume was 1,850 thousand tons; Group EBITDA 76 million Baht (up 187% YoY); and Net Loss 2,803 million Baht (up 126% YoY).

 Performance of Subsidiaries and Jointly-Controlled Entity in Q2/2014:

  • Upstream Business recorded sale and service revenues 11,309 million Baht (down 10% QoQ and 4% YoY); negative EBITDA 531 million Baht (down 40% QoQ and 50% YoY); with net loss of 1,347 million Baht (smaller loss 21% QoQ but bigger  loss 2,237 % YoY).
  • Port Business recorded total service revenues 59 million Baht (down 12% QoQ and down 42% YoY); and net profit was 6 million Baht (down 52% QoQ and down 84% YoY).
  • Engineering Business recorded total sale and service revenues 229 million Baht (up 7% QoQ but down 4% YoY).  Sale and service revenues to external customers, apart from the Company and its subsidiaries, was 79% of total.  Net loss was 32 million Baht (down 1,963% QoQ and down 385% YoY).
  • Cold Rolled Coil Business recorded total sale 3,143 million Baht (up 12% QoQ and down 12% YoY) and net loss 6 million Baht (up 105% QoQ but down 89% YoY).

Mr. Win Viriyaprapaikit, Group CEO and President of Sahaviriya Steel Industries Plc. (SSI), stated that “Our biggest achievement in Q2/2014 was reaching positive monthly EBITDA for the Upstream Business in June, the first time since we acquired the business in 2011.  This marks the turn-around point for the business.  On the consolidated basis, we also achieved positive Group EBITDA, albeit small, for two quarters consecutively, despite the revenue drop in the HRC Business which was impacted by the prolonged political situation in Thailand.

Upstream Business again nearly halved its EBITDA loss compared to the previous quarter, as the business continued to improve.  Though Slab Average Selling Price remained the same, we achieved 32% higher Slab Spread, largely because of weak iron ore and coal prices and our ability to flexibly adjust our raw material recipe to take advantage of this situation.  As global steel slab demand continues to step up following global economic recovery, we achieved 6% higher Slab Sales Volume to 3rd Parties, reaching 517k ton or 80% of total sales, both our highest quarterly record; and sales to North American market reached 42%.  This highlights the strength of the underlying business environment and the opportunity for this business going forward.

HRC Business lagged as the Thai political situation continued to unfold throughout the quarter.  Despite HRC Sales Volume dropping 17% and HRC Spread dropping 6%, we still managed to turn a net profit for the business, which was quite satisfactory as sales volume had been extraordinarily low.

Operationally, we continue to execute our two-pronged strategy.  Firstly, to innovate and deliver better products and service to our customers.  Secondly, to integrate across our various businesses to achieve best-in-class practice, operational excellence, synergy, continuous optimization, project execution and business improvement.  Through the AAA Projects, our value creation pipeline is being populated both in the near-term and medium-term with interesting projects that would deliver quick returns.”

“We see the future outlook moderately positive.  Thai political situation is calm post the 22nd May coup d’etat, construction and industrial activity is recovering following overall improving economic sentiment.  The incoming government is signaling economy as its first priority and infrastructure investment as its cornerstone policy.  This should lead to stronger demand for steel going forward for the next few years.  HRC Business sales will rise in Q3 from its Q2 low and further more in Q4 and 2015.  Globally, fear of China slowdown seems to be abating and the U.S. continues to lead global economic recovery, contributing further to the underlying fundamentals for our Upstream Business.  While the Ukraine situation remains unclear and increasing Russia sanction being the likely outcome, we have taken steps to de-risk ourselves from that and expect minimal negative impact.  We also expect overall metal spread to remain healthy as the raw material oversupply situation continues to exacerbate.” Mr.Win added.

บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน)
รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2557 และงวดครึ่งปี 2557

  • รายได้จากการขายและบริการกลุ่มรวม 18,051 ล้านบาท ปริมาณขายเหล็กรวม 902 พันตัน
  • ไตรมาส 2 กำไรสุทธิ (งบเดี่ยว) 27 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ (งบรวม)  1,406  ล้านบาท
  • งวด 6 เดือน  กำไรสุทธิ (งบเดี่ยว) 374 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ (งบรวม) 2,803 ล้านบาท
  • ธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อนยอดขายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มพิเศษ ร้อยละ 42
  • ธุรกิจโรงถลุงเหล็กขาดทุนสุทธิ 1,374 ล้านบาท  EBITDA  เดือนมิย.เป็นบวกครั้งแรกตั้งแต่เริ่มดำเนินการปี 2554

          บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ เอสเอสไอ รายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 2/2557 และผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน ปี 2557 ดังนี้  

ไตรมาส 2/2557
         
งบการเงินเฉพาะบริษัท – บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 8,602 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 15  จากไตรมาสก่อน และใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปีก่อน) โดยมีปริมาณขายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน 384 พันตัน (ลดลงร้อยละ 17 จากไตรมาสก่อน และ ลดลงร้อยละ 6 จากงวดเดียวกันปีก่อน) โดยเป็นการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มพิเศษ (Premium Value Products) ร้อยละ 42 ของปริมาณขายรวม  EBITDA  586 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 39 จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 198 จากงวดเดียวกันปีก่อน)   และมีกำไรสุทธิ 27 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 92 จากไตรมาสก่อนแต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 106 จากงวดเดียวกันปีก่อน)

          งบการเงินรวม – บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 18,051 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 5 จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 44 จากงวดเดียวกันของปีก่อน) จากปริมาณขายเหล็กรวมสูงถึง  902  พันตัน Group EBITDA 0.3 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 100 จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 100 จากงวดเดียวกันปีก่อน)   มีผลขาดทุนสุทธิ 1,406 ล้านบาท (ขาดทุนใกล้เคียงไตรมาสก่อน และขาดทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 202 จากงวดเดียวกันปีก่อน)   

งวด 6 เดือน ปี 2557
         
งบการเงินเฉพาะบริษัท – บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 18,772 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 23 จากงวดเดียวกันของปีก่อน) โดยมีปริมาณขายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน  846  พันตัน (ลดลงร้อยละ 24  จากงวดเดียวกันปีก่อน) โดยเป็นการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มพิเศษ (Premium Value Products) ร้อยละ 40 ของปริมาณขายรวม  EBITDA  1,548  ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 14 จากงวดเดียวกันปีก่อน)   และมีกำไรสุทธิ  374 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 5 จากงวดเดียวกันปีก่อน)

          งบการเงินรวม – บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 37,062 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 จากงวดเดียวกันของปีก่อน) จากปริมาณขายเหล็กรวมสูงถึง 1,850 พันตัน Group EBITDA 76 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 187 จากงวดเดียวกันปีก่อน)   มีผลขาดทุนสุทธิ 2,803 ล้านบาท (ขาดทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 126 จากงวดเดียวกันปีก่อน)   

สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2/2557 ของบริษัทย่อยและกิจการที่ควบคุมร่วมกัน มีดังต่อไปนี้

  • ธุรกิจโรงถลุงเหล็ก  มีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 11,309 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 10 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 4 จากงวดเดียวกันปีก่อน) EBITDA ติดลบ 531 ล้านบาท (ติดลบน้อยลงร้อยละ 40 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 50 จากงวดเดียวกันปีก่อน) มีผลขาดทุนสุทธิ 1,347 ล้านบาท(ขาดทุนลดลงร้อยละ 21จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2,237 จากงวดเดียวกันปีก่อน)
  • ธุรกิจท่าเรือ มีรายได้จากการให้บริการรวม 59 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 12 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 42 จากงวดเดียวกันปีก่อน) มีกำไรสุทธิ 6 ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 52 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 84 จากงวดเดียวกันปีก่อน)
  • ธุรกิจวิศวกรรม มีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 229  ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากไตรมาสก่อน แต่ลดลงร้อยละ4จากงวดเดียวกันปีก่อน) เป็นรายได้นอกกลุ่มร้อยละ 79 และขาดทุนสุทธิ 32  ล้านบาท (ลดลงร้อยละ 1,963 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 358 จากงวดเดียวกันปีก่อน)
  • ธุรกิจเหล็กแผ่นรีดเย็น  มีรายได้จากการขายรวม 3,143 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 12 จากงวดเดียวกันปีก่อน) กำไรสุทธิ 6 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 105 จากไตรมาสก่อน แต่ลดลงร้อยละ 89 จากงวดเดียวกันปีก่อน)

          นายวิน วิริยประไพกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสเอสไอกล่าวว่า  “ความสำเร็จสำคัญของเราในไตรมาส 2/2557 คือ มี EBITDA เป็นบวกสำหรับธุรกิจโรงถลุงเหล็กในเดือนมิถุนายนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่เราได้เข้าซื้อทรัพย์สินโรงถลุงเหล็กในปี 2554 ซึ่งนับเป็นจุดพลิกสถานการณ์ของธุรกิจนี้ ในส่วนของงบการเงินรวม EBITDA ของกลุ่มเป็นบวกเช่นกัน แม้ว่าไม่มากแต่เป็นบวกสองไตรมาสติดต่อกัน ทั้งๆที่รายได้ของธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อนลดลงเนื่องจากได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทย

           ธุรกิจโรงถลุงเหล็ก เราสามารถลดการขาดทุน EBITDA ได้ลงเกือบครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนจากการปรับปรุงธุรกิจอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าราคาขายเฉลี่ยเหล็กแท่งแบนยังคงทรงตัวแต่เรามีส่วนต่างราคา (Slab Spread) ที่สูงขึ้นร้อยละ 32 เนื่องจากราคาแร่เหล็กและถ่านหินตกต่ำลงและการที่เราสามารถปรับสูตรการใช้วัตถุดิบเพื่อสร้างความได้เปรียบจากสถานการณ์นี้ ขณะที่ความต้องการเหล็กแท่งของโลกขยายตัวอย่างต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกนั้น เราประสบความสำเร็จในการขายเหล็กแท่งแก่บุคคลภายนอกเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 คิดเป็นปริมาณขายเหล็กแท่งถึง 517 พันตันหรือร้อยละ 80 ของยอดขายรวม เป็นยอดรายไตรมาสสูงสุดของเรา และมียอดส่งออกไปตลาดอเมริกาเหนือร้อยละ42 ซึ่งเน้นย้ำให้เห็นความแข็งแกร่งของปัจจัยแวดล้อมและพื้นฐานธุรกิจ รวมถึงโอกาสสำหรับธุรกิจนี้ของเรา

          ธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อน แม้ผลกระทบต่อเนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองของไทยทำให้ปริมาณการขายเหล็กแผ่นรีดร้อนลดลงร้อยละ 17 และค่าการรีด (HRC Spread) ลดลงร้อยละ 6 เรายังคงบริหารจัดการให้มีผลกำไรสุทธิซึ่งเป็นที่น่าพอใจในขณะที่ปริมาณการขายอยู่ในระดับที่ต่ำผิดปกติ

          ในด้านการปฏิบัติการนั้น เรายังคงดำเนินกลยุทธ์สองทาง ประการแรกคือการสร้างสรรค์นวัตกรรมและส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่มีมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้าของเรา ประการที่สองคือบูรณาการธุรกิจต่างๆของเราเพื่อให้บรรลุความเป็นเลิศทางด้านปฏิบัติการ การสร้างผลประโยชน์ร่วม การเพิ่มประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง การดำเนินโครงการและการปรับปรุงธุรกิจ สำหรับโครงการ AAA Projects เรากำลังพัฒนาและดำเนินการหลายโครงการที่น่าสนใจและมีผลตอบแทนรวดเร็ว ทำให้มีแผนต่อเนื่องที่จะเพิ่มมูลค่าของธุรกิจทั้งในระยะสั้นและระยะกลางด้วย”

          “เราเห็นแนวโน้มข้างหน้าเป็นบวก สถานการณ์ทางการเมืองไทยได้กลับคืนสู่ความสงบหลังจากการทำรัฐประหาร วันที่ 22 พฤษภาคม กิจกรรมการก่อสร้างและภาคอุตสาหกรรมฟื้นตัวตามความเชื่อมั่นเศรษฐกิจโดยภาพรวมที่ดีขึ้น รัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามามีการส่งสัญญาณให้ความสำคัญกับเรื่องเศรษฐกิจเป็นอันดับแรกและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเป็นนโยบายหลัก ซึ่งจะนำไปสู่​​ความต้องการใช้เหล็กที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องหลายปีข้างหน้า ยอดขายของธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อน จะเพิ่มขึ้นในไตรมาส 3 จากยอดขายที่ต่ำในไตรมาส 2 และจะเพิ่มต่อไปอีกในไตรมาสที่ 4 และปี 2558  ในระดับโลกนั้นความหวาดกลัวต่อปัญหาเศรษฐกิจจีนดูเหมือนจะลดลง และ สหรัฐอเมริกายังคงเป็นผู้นำการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะส่งเสริมปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจโรงถลุงเหล็กของเรา ในขณะที่แนวโน้มสถานการณ์ในยูเครนยังไม่คลี่คลายและมีการเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียมากขึ้น เราได้ดำเนินการลดความเสี่ยงจากสถานการณ์ดังกล่าวแล้ว ซึ่งคาดว่าจะเกิดผลกระทบทางลบน้อย นอกจากนี้เรายังคาดว่าส่วนต่างราคาเหล็ก (metal spread)โดยรวมจะยังคงดีจากสถานการณ์วัตถุดิบล้นตลาดอีกด้วย” นายวินกล่าว