Q4/2013 |
|
Year 2013 |
|
Sahaviriya Steel Industries Plc. (SSI) reports its fourth quarter and year of 2013 as follows:
Q4/2013Result
Standalone Financial Statement – The Company recorded sale and service revenues Baht 8,995 million, down 27% QoQ and 36% YoY, with HRC sales volume 425 k tons, down 29% QoQ and 34% YoY. Premium Value Products contributed 34% of total HRC sales volume. Net profit was Baht 75 million, up from net loss Baht 260 million in Q3/2013 and Baht 422 million in Q4/2012.
Consolidated Financial Statements – The Company and its subsidiaries recorded sale and service revenues Baht 16,100 million, down 4% QoQ, and 9% YoY. Net loss was Baht 2,902 million, up from net loss Baht 260 million in Q3/2013 and Baht 3,257 million in Q4/2012.
Year 2013 Result
Standalone Financial Statement – The Company recorded sale and service revenues Baht 45,599 million, down 6% YoY, with HRC sales volume 2,134 k tons, down 2% YoY. Premium Value Products contributed 34% of total HRC sales volume. Net profit was Baht 210 million; up from net loss Baht 1,655 million in 2012.
Consolidated Financial Statements –The Company and its subsidiaries recorded sale and service revenues Baht 65,387 million, up 8% YoY. Total cost of sale and service was Baht 70,250 million, down 3% YoY. Net loss was Baht 7,053 million; up from net loss Baht 15,918 million in 2012.
Performance of Subsidiaries and Jointly-Controlled Entity for Year 2013
- Upstream Business recorded total sale and service revenues Baht 45,258 million, up 29% YoY. Net loss was Baht 7,259 million.
- Deep Sea Port Business recorded total service revenues Baht 394 million, up 6% YoY, as revenue from PPC Shore Cranes service was realized for the full year in 2013. Net profit was Baht 156 million.
- Engineering and Maintenance Service Business recorded total sale and service revenues Baht 910 million, up 33% YoY, driven by higher revenues from every segment. 3rd party customers apart from the Company and its subsidiaries contributed 53% of total sale and service revenues. Net profit was Baht 49 million.
- Cold Rolled Coil Business recorded total sale Baht 11,563 million, down 19% YoY and net profit of Baht 193 million.
Mr. Win Viriyaprapaikit, Group CEO and President of Sahaviriya Steel Industries Plc. (SSI), stated that “In Q4/2013, we achieved 16,100 MB Group Revenue, 4% lower than Q3, despite the political situation in Thailand. Though HRC Business revenue dropped 27% due to the political impact, it was compensated by a 59% increase in Upstream Business revenue to 3rd party customers, on the back of the positive recovery in the North American market. This is when geographical market diversity, one of the strengths in our business model which is often not recognized, comes into play. We were able to diversify and tap into stronger markets, while maintaining our production volume high to keep our costs down. Quarter on quarter, the HRC Business returned to profit, from better margin management; the Upstream Business recorded the same level of loss despite better margin and volume, largely due to costs from power plant outages which we are currently fixing.”
“For full year 2013, we achieved record Group Revenue 65,387 MB and record Group Sales Volume 3,243 k tons, up 8% and 31% respectively. This shows how much we have come around in our transformation from a midstream steel player into a fully-integrated steel maker. It evidenced the strong underlying demand in the global market for Steel Slabs, our product from the Upstream Business, of which 1,110k tons or 40% of total went to 3rd party customers. Group EBITDA loss also improved significantly, dropping 73% from negative 10,597MB in 2012 to negative 2,888 MB in 2013, as 1) the HRC Business turned around to make net profit and 2) the Upstream Business halved its losses as its operations reached higher volume thereby gaining higher economy of scale and efficiency.”
“The short term outlook for Q1/2014, we see healthier market environment than the last quarter. Thai HRC demand continues to recover month-on-month from the low point in November when the political situation started, Slab market is tighter globally with continued robust demand from the North American market, while iron ore and coking coal – our key raw materials – continue to be under downward pressure from a global oversupply situation. This will result in better margins for the business as a whole. Losses at the Upstream Business will reduce further, as we will further lower our costs from continued ramp-up in Slab output and pulverized coal injection rate, and from various cost optimization initiatives we are undertaking.
The longer term outlook for the full year 2014, we remain confident to see our business improve steadily in many areas: volume growth, cost reduction, margin improvement, Premium Value Products penetration, and process optimization. It has been nearly three years since we made the acquisition to become vertically integrated; we have conceded the pain from the integration, now it is time to harvest the benefit.” Mr. Win added.
The Company expects steel consumption in 2014 will rise, as the World Steel Association (WSA) estimated world’s Apparent Steel Use in 2014 to grow by 3.3% YoY to 1,523 million tons, and Apparent Steel Use in China is yet anticipated to expand 3.0% YoY, or declined from 6.0% growth in 2013 mainly dragged by Chinese government’s rebalancing policy. On contrary, Apparent Steel Use in India is expected to increase 5.6% YoY, or increased from 3.4% growth in 2013; whilst other major steel producers, such as the U.S., Brazil, and Europe, concurrently projected higher economic growth in 2014. Moreover, the Office of Industrial Economics (OIE) anticipated that domestic steel demand in 2014 would likely to fluctuate following the condition of macroeconomic circumstance and market situation in the steel downstream industries; such as construction, automobile and HA/EA, which could immensely grow with support from government’s investment projects. In addition, Iron and Steel Institute of Thailand (ISIT) projects domestic steel demand in 2014 to be roughly 18.0 million tons, or up 2.5% YoY.
บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน)
รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2556 และงวดปี 2556
ไตรมาส 4/2556 |
|
ประจำปี 2556 |
|
บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ เอสเอสไอ รายงานผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 4/2556 และผลการดำเนินงานงวดประจำปี 2556 ดังนี้
ไตรมาส 4/2556
งบการเงินเฉพาะบริษัท – บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 8,995 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 27จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 36 จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีปริมาณขายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน 425 พันตัน ลดลงร้อยละ 29 จากไตรมาสก่อน และ ร้อยละ 34 จากงวดเดียวกันปีก่อน โดยจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มพิเศษ (Premium Value Products) ร้อยละ 34 ของปริมาณขายรวม มีกำไรสุทธิ 75 ล้านบาท พลิกกลับจากขาดทุน 260 ล้านบาทในไตรมาส 3/2556 และจากขาดทุน 422 ล้านบาทในไตรมาส 4/2555
งบการเงินรวม – บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 16,100 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4 จากไตรมาสก่อน และรายได้จากการขายและให้บริการรวมลดลงร้อยละ 9 จากงวดเดียวกันของปีก่อน มีผลขาดทุนสุทธิ 2,907 ล้านบาท ใกล้เคียงกับขาดทุน 2,902 ล้านบาท ในไตรมาส 3/2556 และลดลงจากขาดทุน 3,257 ล้านบาทในไตรมาส 4/2555
งวดปี 2556
งบการเงินเฉพาะบริษัท – บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 45,599 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 6 จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากปริมาณขาย HRC 2,134 พันตัน ลดลงร้อยละ 2 จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มพิเศษ (Premium Value Products) ร้อยละ 34 ของปริมาณขายรวม มีกำไรสุทธิ 210 ล้านบาท กำไรเพิ่มขึ้นจากผลขาดทุนสุทธิ 1,655 ล้านบาท ของปี 2555
งบการเงินรวม – บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 65,387 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 จากงวดเดียวกันปีของก่อน โดยมีต้นทุนขายและให้บริการรวม 70,250 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 3 จากงวดเดียวกันปีของก่อน มีผลขาดทุนสุทธิ 7,053 ล้านบาท ขาดทุนลดลงจากผลขาดทุนสุทธิ 15,918 ล้านบาทของปี 2555
สำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2556 ของบริษัทย่อยและกิจการที่ควบคุมร่วมกัน มีดังต่อไปนี้
- ธุรกิจโรงถลุงเหล็ก มีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 45,258 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 29 จากงวดเดียวกันปีของก่อน มีผลขาดทุนสุทธิ 7,259 ล้านบาท
- ธุรกิจท่าเรือน้ำลึก มีรายได้จากการให้บริการรวม 394 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากปีก่อน เนื่องจากมีรายได้จากการให้บริการเครนหน้าท่า (PPC Shore Crane) ในปี 2556 เต็มปี มีกำไรสุทธิ 156 ล้านบาท
- ธุรกิจวิศวกรรมและซ่อมบำรุง มีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 910 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 33 จากปีก่อน เป็นรายได้นอกกลุ่มร้อยละ 53 และมีกำไรสุทธิ 49 ล้านบาท
- ธุรกิจเหล็กแผ่นรีดเย็น มีรายได้จากการขายรวม 11,563 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 19 และมีกำไรสุทธิ 193 ล้านบาท
นายวิน วิริยประไพกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสเอสไอ กล่าวว่า “ในไตรมาส 4/2556 เรามีรายได้รวมของกลุ่ม 16,100 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 จากผลกระทบจากเหตุการณ์การเมือง แต่ถึงแม้รายได้ของธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อนลดลงมาร้อยละ 27 จากผลกระทบดังกล่าว เราได้รับรายได้ทดแทนจากธุรกิจโรงถลุงเหล็กซึ่งขายเหล็กแท่งแบนให้แก่บุคคลภายนอกที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 59 โดยเฉพาะสู่ตลาดอเมริกาเหนือซึ่งแข็งแกร่งตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ความหลากหลายทางภูมิศาสตร์ตลาด (geographical market diversity) ซึ่งเป็นจุดแข็งหนึ่งของรูปแบบธุรกิจเราที่คนมักมองไม่เห็นได้เริ่มเข้ามามีบทบาท ทำให้เราสามารถบริหารความเสี่ยงโดยกระจายสินค้าเข้าสู่ตลาดที่แข็งแกร่งกว่า เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส ธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อนพลิกกลับมามีกำไรสุทธิจากการบริหารค่าการรีดที่ดีขึ้น ธุรกิจโรงถลุงเหล็กมีผลขาดทุนในระดับใกล้เคียงเดิมถึงแม้จะมีส่วนต่างราคาและปริมาณขายที่ดีขึ้น แต่มีต้นทุนเพิ่มขึ้นจากปัญหาการผลิตของโรงไฟฟ้า ซึ่งเรากำลังซ่อมแซมจุดนี้อยู่
ในปี 2556 เราสามารถสร้างสถิติใหม่สำหรับรายได้รวมของกลุ่ม 65,387 ล้านบาท และปริมาณขายเหล็กรวม 3,243 พันตัน ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 และร้อยละ 31 ตามลำดับ ซึ่งแสดงให้เห็นผลจากการปรับเปลี่ยนตัวเองจากผู้ผลิตเหล็กกลางน้ำมาสู่ผู้ผลิตเหล็กครบวงจร อีกทั้งยังแสดงให้เห็นว่าเหล็กแท่งแบน ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของธุรกิจโรงถลุงเหล็กของเรานั้น เป็นที่ต้องการในตลาดโลกอย่างมาก เห็นได้จากปริมาณขายร้อยละ 40 หรือ 1,100 พันตัน เป็นการขายให้แก่บุคคลภายนอก นอกจากนี้ EBITDA รวมของกลุ่ม ปรับตัวดีขึ้นอย่างมาก โดยลดลงร้อยละ 73 จากติดลบ 10,597 ล้านบาทในปี 2555 มาเป็นติดลบเพียง 2,888 ล้านบาทในปี 2556 สาเหตุหลักมาจาก 1) ธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อนได้พลิกมามีกำไร และ 2) ธุรกิจโรงถลุงเหล็กขาดทุนลดลงเหลือเพียงครึ่งหนึ่ง เมื่อปริมาณการผลิตสูงขึ้นและได้รับประโยชน์จากการประหยัดต้นทุนต่อขนาดและประสิทธิภาพที่สูงขึ้น
“สำหรับแนวโน้มระยะสั้นในไตรมาส 1/2557 เราเห็นสภาวะตลาดที่แข็งแกร่งกว่าไตรมาสก่อน โดยตลาดเหล็กแผ่นรีดร้อนในประเทศเริ่มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องเดือนต่อเดือน จากจุดต่ำสุดในเดือนพฤศจิกายนเมื่อสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มปะทุ ตลาดเหล็กแท่งแบนทั่วโลกตึงตัวเมื่อปริมาณความต้องการจากภูมิภาคอเมริกาเหนือเริ่มมีมากขึ้น ขณะที่สินแร่เหล็กและถ่านโค้ก ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักของเรา ยังคงได้รับแรงกดดันด้านราคาจากสถานการณ์อุปทานล้นตลาดอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดนี้จะส่งผลให้อัตรากำไรของธุรกิจโดยรวมปรับตัวดีขึ้น คาดว่าผลขาดทุนของธุรกิจโรงถลุงเหล็กจะน้อยลงอีก จากการที่เรามุ่งมั่นพยายามลดต้นทุน ทั้งจากการเพิ่มปริมาณการผลิตเหล็กแท่งแบนและอัตราการใช้ PCI (PCI Injection Rate) และจากโครงการต่างๆ เพื่อปรับลดต้นทุน ที่เรากำลังดำเนินการอยู่อย่างต่อเนื่อง
ส่วนแนวโน้มระยะยาวสำหรับปี 2557 เรายังคงเชื่อมั่นที่จะเห็นธุรกิจของเราดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายด้าน ทั้งการเติบโตของยอดขาย การลดต้นทุน ส่วนต่างระหว่างราคาที่ดีขึ้น การขยายตลาดผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มพิเศษ และ การเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต นับเป็นเวลาเกือบสามปีที่เราได้ลงทุนเพื่อเป็นผู้ผลิตเหล็กครบวงจร ซึ่งเราแบกรับความยากลำบากมาพอสมควร ตอนนี้ถึงเวลาที่เราจะเก็บผลประโยชน์จากการเชื่อมโยงธุรกิจเหล็กครบวงจรนี้ ” นายวินกล่าว
บริษัทคาดการณ์ว่าการบริโภคเหล็กในปี 2557 จะปรับตัวสูงขึ้น โดย สถาบันเหล็กโลก (World Steel Association: WSA) ได้ประเมินว่า ในปี 2557 ความต้องการบริโภคสินค้าเหล็กของโลกจะขยายตัวร้อยละ 3.3 หรือเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 1,523 ล้านตัน โดยคาดการณ์ว่า อัตราการเติบโตของความต้องการเหล็กของประเทศจีนในปี 2557 ยังคงคาดหมายว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.0 ประเทศอินเดียเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 5.6 รวมถึงประเทศอื่นๆ ซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล็กหลักของโลกเช่น สหรัฐอเมริกา บราซิล และกลุ่มสหภาพยุโรป สำหรับ อุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมคาดการณ์ว่า แนวโน้มระดับความต้องการบริโภคสินค้าเหล็กในปี 2557 จะเผชิญกับความผันผวนตามสภาวะเศรษฐกิจมหภาคของประเทศและสภาวะตลาดในอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ใช้เหล็ก ได้แก่ อุตสาหกรรมก่อสร้าง อุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น โดยที่อุตสาหกรรมก่อสร้าง หากได้แรงขับเคลื่อนจากการลงทุนของภาครัฐ ก็จะช่วยเพิ่มอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ได้ ทั้งนี้ สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทยคาดการณ์ว่า ในปี 2557 จะมีปริมาณการใช้เหล็ก 18 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 จากปี 2556