SSI reached the highest record with 28 million tons of cumulative HRC production on 8 February 2013 after continuous production and shipment to serve customers’ strong domestic demand, projected to grow 7.2% in 2013. It starts to realize synergy from vertical integration, providing security in its own raw material supply.

Mr. Win Viriyaprapaikit, Group CEO and President of Sahaviriya Steel Industries Plc. (SSI) revealed that on 8 February 2013, SSI Bangsaphan plant, Prachuap Khiri Khan, succeeded in 28 million cumulative tons of hot-rolled steel sheet in coil (HRC) production, the first and highest record among Thai steel companies, which underlines its leadership position in ASEAN. The plant also achieved a record of 12,553 tons of highest daily HRC production on 20 January 2013.  In addition, SSI Teesside, UK, which on 18 April 2011 started its steel slab production to supply as raw materials for SSI Bangsaphan, had announced its success in reaching cumulative 2 million tons steel slab production on 31 January 2013.

“These cumulative 28 million tons are the result of our continuous success in terms of production and sales.  It attests the synergy from the vertical integration of our Thailand and UK operation, starting with the constant and reliable supply of steel slabs from our SSI Teesside plant to our SSI Bangsaphan plant.  We will see from now consistent growth in volume and sales revenue and reducing production cost due to larger economy of scale, as envisaged under our Integrate World Class Steel Business strategy.  Furthermore, we will soon begin to see better margin as our products gain market share under our Innovate Premium Value Products strategy.”

In addition, according to Iron and Steel Institute of Thailand, (ISIT), the domestic steel demand in 2013 will be approximately 17.5 million tons, increasing 7.2 % from 16.3 million tons in 2012. This is mainly because of several major infrastructure investment projects of the government and the expansion of downstream industries such as automobile and energy.

“เอสเอสไอ” ผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนสะสมครบ 28 ล้านตัน
          เอสเอสไอทำสถิติผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนสูงสุดครบ 28 ล้านตัน เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2556 จากการผลักดันการผลิตและส่งมอบสินค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการใช้ของลูกค้าและรองรับการบริโภคเหล็กที่จะเติบโตร้อยละ 7.2 ในปี 2556 เผยผลประโยชน์ร่วมจากการเชื่อมโยงกับธุรกิจต้นน้ำให้มีเหล็กแท่งแบนสนับสนุนการผลิตสม่ำเสมอ
          นายวิน วิริยประไพกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.สหวิริยาสตีลอินดัสตรี หรือ เอสเอสไอ เปิดเผยว่าเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2556 โรงงานผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนของบริษัทที่อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ บรรลุยอดการผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนสะสมปริมาณ 28 ล้านตัน ซึ่งแสดงถึงความเป็นผู้นำในตลาดเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนของอาเซียน นับเป็นบริษัทเหล็กรายแรกของไทยที่สร้างสถิติยอดการผลิตสะสมสูงสุด หลังจากโรงงานแห่งนี้ทำสถิติในการผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนสูงสุดต่อวันที่ 12,553 ตัน เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2556 ที่ผ่านมา เช่นเดียวกันกับโรงถลุงเหล็กเอสเอสไอ ทีไซด์ ประเทศอังกฤษ ที่เปิดดำเนินการผลิตเหล็กแท่งแบนเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2554 เพื่อส่งมาเป็นวัตถุดิบให้โรงงานเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนที่ประเทศไทย ประกาศความสำเร็จ ผลิตเหล็กแท่งแบนสะสมครบ 2 ล้านตัน ไปเมื่อวันที่ 31 มกราคม ที่ผ่านมา
          “ปริมาณการผลิตสะสมสูงสุด 28 ล้านตันนี้ เกิดจากการผลักดันการขายและส่งมอบผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นผลประโยชน์ร่วมจากการเชื่อมโยงธุรกิจในแนวดิ่งระหว่างโรงงานในประเทศไทยและประเทศอังกฤษ  จากการมีเหล็กแท่งแบนสนับสนุนการผลิตสม่ำเสมอจากโรงงานเอสเอสไอ ทีไซต์ จนมาถึงโรงงานเอสเอสไอ บางสะพาน  จากนี้ไปเราจะเห็นปริมาณขายและรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ สามารถลดต้นทุนการผลิตจากสเกลธุรกิจที่ใหญ่ขึ้น ด้วยการดำเนินธุรกิจภายใต้กลยุทธ “เสริมสร้างธุรกิจระดับโลก” และเรายังได้เห็นส่วนต่างราคาที่ดีขึ้นจากการขยายตลาดภายใต้กลยุทธ์ “สร้างสรรค์นวัตกรรมผลิตภัณฑ์เหล็กและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้า”
          ทั้งนี้ สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย (สลท.) ประเมินความต้องการใช้เหล็กในประเทศปี 2556 ประมาณ17.5 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2555 ซึ่งอยู่ที่ 16.3 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.2 โดยมีปัจจัยหลักจากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐและการขยายตัวของอุตสาหกรรมต่อเนื่อง อาทิ ยานยนต์ พลังงาน เป็นต้น

Leave a Reply