SSI posted a net loss of Bt. 2.96 billion in Q3/2011 with total Bt. 13.44 billion revenue from sales and services, the second highest quarterly revenue after Q1/2010. Increased Premium Value Product ratio to 41% and achieved 25 million tons record of HRC production. Bt 5.27 billion gain on Teesside facility acquisition was recorded. Sahaviriya Steel Teesside plant will be ready for Slab Production on January 6th after additional remedial work on the blast furnace found. After recent price correction, steel market is recovering and robust demand expected after flood.
Mr. Win Viriyaprapaikit, Group CEO and President of Sahaviriya Steel Industries Plc. (“SSI”) revealed that in Q3/2011 the Company and its subsidiaries realized total revenue from sales and services at Bt. 13.43 billion, 16% up from the same period last year, and a net loss of Bt. 2.96 million. For the nine months period, the total revenue of Bt. 34.96 billion was realized, 6% down from the same period of last year, and net profit was Bt1.39 million.
The increase of sale and service revenues was driven by several factors. HRC Business recorded Bt. 10,373 million revenue, 34% up QoQ. HRC Sales volume was 414 k tons, 26% up QoQ, average selling price Bt. 24,504/ton, 6% up QoQ, but cost of goods sold was only 4% up QoQ. Ratio of Premium Value Product to total sales increased to 41%. This was due to the recovery in auto industry, the government action in anti-dumping, and uptrend in global steel price. Iron and Steel Making Business, whose only revenue was still from coke operation, recorded Bt. 2,994 million revenue with coke sales of 220 k tons. Deep Sea Port Business recorded service revenue of Baht 28 million and Engineering and Maintenance Service Business recorded service revenue of Baht 45 million.
“Following SSI’s 2-prong strategy to “innovate premium value products” and “integrate world class steel businesses”, SSI achieved second highest consolidated quarterly revenue of Baht 13.44 billion in Q3/2011, following Baht 13.86 billion in Q1/2010. SSI also successfully became the first steel manufacturer in Thailand to achieve a historical record of 25 million tons accumulated production of HRC. The company also recorded Baht 5.27 billion gain on acquisition of steel making facility in Teesside.
Nonetheless, HRC Business recorded provision for loss under onerous contracts of Baht 129 million relating to HRC business to reflect recent softer steel price. Iron and Steel Making Business recorded extraordinarily high cost of non-operating expenses, selling and general administrative expenses, and interest expenses at total Bt. 2.316 billion. These expenses will become normal cost after the slab production restart.” Mr. Win said.
Mr. Win said that SSI UK restart project is progressing well. The target restart date has been changed to 6 January 2012, due to some additional remedial work on the blast furnace that has been identified. Slab output for 2012 is forecast at 3.3 million tons, with a ramp-up to an annualised rate of 3.6mtpa by Q4 2012, which will contribute significantly to our revenue growth and business strength. The Company also launched the PPC Shore Crane project, which will install 2 100-ton harbor cranes at Prachuap Port, helping to save freight cost by using larger vessels. The project is expected to be commissioned in April 2012.
“In October, iron ore and steel prices had seen a big correction due to China’s inflation and property bubble control measures and intensifying Eurozone crisis. Prices has since bottomed out and recently seemed to firm up again. Domestically, Thailand’s flood situation will weaken steel demand in short term. However, the company remains positive on the longer-term outlook that the economic and industrial activities will resume gradually post flood and then more vigorously when the government budget to rebuild infrastructure and rehabilitate industries kick in. We expect robust demand for our products in the medium and long term.”
เอสเอสไอประกาศไตรมาส3/2554ขาดทุน2.96พันล้าน รายได้สูงรองประวัติการณ์13.43พันล้าน-สัญญาณเหล็กฟื้นหลังน้ำลด
เอสเอสไอเปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2554 ขาดทุนสุทธิ 2,965 ล้านบาท ในขณะที่มีรายได้ 13,439 ล้านบาทสูงเป็นประวัติการณ์รองจากไตรมาส 1/2553 ยอดขายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มกับลูกค้าขยับเพิ่มเป็นร้อยละ 41 ด้วยปริมาณการผลิตสะสม 25 ล้านตันรายแรกของไทย บันทึกกำไรจากการซื้อโรงถลุงเหล็กที่อังกฤษ 5,271 ล้านบาทแล้ว ด้านโรงงานสหวิริยาสตีลทีไซด์มั่นใจ หลังงานปรับปรุงเตาเผาอากาศที่ต้องทำเพิ่มเติมแล้วเสร็จ 6 มกราคมเริ่มผลิต เผยตลาดเหล็กเริ่มกลับมาหลังพ้นจุดต่ำสุดรับแผนฟื้นฟูประเทศหลังน้ำท่วมใหญ่
นายวิน วิริยประไพกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ เอสเอสไอ เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส3/2554 ว่า บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายและบริการรวม 13,439 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 16 จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีผลขาดทุนสุทธิ จำนวน 2,965 ล้านบาท สำหรับงวด 9 เดือน บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการรวม 34,967 ล้านบาท คิดเป็นลดลงร้อยละ 6 จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีผลกำไรสุทธิ จำนวน 1,395 ล้านบาท
รายได้ที่เพิ่มขึ้นนี้มาจากธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อน ซึ่งเป็นรายได้จากการขายเหล็กแผ่นรีดร้อนและเศษเหล็กรวม 10,373 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 34 จากไตรมาส 2/2554 โดยมีปริมาณขายรวม 414 พันตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 26 ราคาขายเฉลี่ย 24,504 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 ในขณะที่ต้นทุนขายเพิ่มเพียงร้อยละ 4 จากไตรมาส 2/2554 โดยมีสัดส่วนผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มกับลูกค้า (Premium Value Product) ประมาณร้อยละ 41 เป็นผลจากภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ที่เริ่มกลับสู่สภาวะปกติหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวญี่ปุ่น และมาตรการฉุกเฉินป้องกันการทุ่มตลาดของภาครัฐ รวมทั้งราคาขายเฉลี่ยที่ปรับสูงขึ้นตามตลาดโลก นอกเหนือจากนี้เป็นรายได้จากธุรกิจโรงถลุงเหล็ก ซึ่งมีเพียงรายได้ในส่วนของธุรกิจโค้ก มียอดขายจำนวน 220 พันตันและผลิตภัณฑ์พลอยได้และรายได้อื่นๆ รวมจำนวน 2,994 ล้านบาท ธุรกิจท่าเรือน้ำลึก มีรายได้จากการให้บริการรวม 28 ล้านบาท ธุรกิจวิศวกรรมและซ่อมบำรุง มีรายได้จากการให้บริการรวม 45 ล้านบาท
“ด้วยการดำเนินภายใต้สองยุทธศาสตร์หลักของบริษัทฯ ในการ “สร้างสรรค์นวัตกรรมผลิตภัณฑ์เหล็กและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้า” และ “เสริมสร้างธุรกิจระดับโลก” ทำให้บริษัทฯสามารถฟื้นตัวจากผลกระทบของเหตุการณ์แผ่นดินไหวญี่ปุ่นได้อย่างรวดเร็ว และสามารถสร้างยอดขายได้สูงถึง 13,439 ล้านบาท สูงเป็นประวัติการณ์รองจากไตรมาส 1/2553 ซึ่งมีรายได้จากการขายและการให้บริการ 13,865 ล้านบาท เช่นเดียวกับการประสบความสำเร็จในการผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนปริมาณสะสมครบ 25 ล้านตันเป็นรายแรกของประเทศไทยอีกด้วย ในขณะเดียวกันบริษัทฯมีบันทึกกำไรจากการซื้อธุรกิจซึ่งเกิดขึ้นจากการเข้าซื้อกิจการโรงถลุงเหล็กที่ประเทศอังกฤษจำนวนประมาณ 5,271 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม สำหรับธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อน บริษัทฯมีการตั้งสำรองจากภาระผูกพันตามสัญญาซื้อวัตถุดิบจำนวน 129 ล้านบาทเพื่อสะท้อนราคาเหล็กที่ปรับตัวลดลงในปัจจุบัน และสำหรับธุรกิจโรงถลุงเหล็กซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการโครงการปรับปรุงโรงถลุงและยังไม่ได้มีการผลิตเหล็ก บริษัทฯจึงมีต้นทุนพิเศษในส่วนที่ไม่เกี่ยวกับการผลิต ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ดอกเบี้ยจ่าย รวมกันเป็นเงิน 2,316 ล้านบาท ซึ่งต้นทุนส่วนนี้จะกลายเป็นต้นทุนปกติหลังจากที่บริษัทเริ่มทำการผลิตเหล็กแท่ง”
นายวินกล่าวถึง โครงการปรับปรุงโรงงานและเริ่มผลิตเหล็กแท่งแบนที่โรงงานสหวิริยาสตีลทีไซด์ ประเทศอังกฤษว่า มีความคืบหน้าไปอย่างต่อเนื่อง บริษัทมีการปรับกำหนดการเริ่มผลิตเป็นวันที่ 6 มกราคม 2555 เนื่องจากมีการพบงานปรับปรุงเตาเผาอากาศที่ต้องทำเพิ่มเติม โรงงานแห่งนี้มีเป้าหมายการผลิตเหล็กแท่งแบนในปี 2555 คือ 3.3 ล้านตัน โดยที่การผลิตจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนถึงระดับ 3.6 ล้านตันต่อปีในไตรมาส 4/2555และจะยืนอยู่ในระดับนี้ต่อไป ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเติบโตทางรายได้และเสริมสร้างความแข็งแกร่งของบริษัทฯในอนาคต รวมทั้งบริษัทฯได้เริ่มโครงการเครนหน้าท่า PPC ซึ่งจะทำการติดตั้งเครนขนาด 100 ตัน 2 ตัวที่หน้าท่าเรือประจวบ เพื่อลดต้นทุนค่าขนส่งจากการที่สามารถใช้เรือบรรทุกขนาดใหญ่ขึ้นได้ โดยโครงการนี้จะแล้วเสร็จในเดือนเมษายน 2555
“สำหรับภาวะอุตสาหกรรมเหล็กโลกและภายในประเทศนั้น แนวโน้มราคาแร่เหล็กและราคาเหล็กในไตรมาสที่ 4 มีสัญญาณที่ดีขึ้นหลังจากผ่านจุดต่ำสุดในเดือนตุลาคม เนื่องจากนโยบายการควบคุมเงินเฟ้อและฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ในประเทศจีนและปัญหาเศรษฐกิจในสหภาพยุโรป สำหรับตลาดในประเทศถึงแม้ปริมาณการใช้เหล็กอ่อนตัวลงไปมากเนื่องจากปัญหาอุทกภัยครั้งใหญ่และกระทบกับยอดขายของบริษัทฯในระยะสั้น แต่เมื่อพิจารณาโอกาสระยะยาว คาดว่ากิจกรรมภาคเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมจะทยอยฟื้นตัวหลังจากนํ้าลด และจะเพิ่มขึ้นอย่างมากจากผลของงบประมาณรัฐบาลในการซ่อมแซมสาธารณูปโภคและฟื้นฟูอุตสาหกรรม คาดว่าผลิตภัณฑ์เหล็กของบริษัทฯ จะมีความต้องการอย่างมากในระยะกลางและระยะยาว”