- Net loss of THB 4,782 million, comparing to net loss of THB 5,022 million in Q2/2012
- Record group revenue was THB 15,794 million, rose up 38% q-o-q
- HRC shipment volume was 617 thousand tons
- HRC daily production highest record 12,449 tons on 20 September 2012.
- Premium Value Products sales ratio was 36%
- On target to achieve THB 58,000 million highest revenue
- Comprehensive Financial Plan and Capital Increase is under way
- Expects similar level of HRC sales and higher production at SSI Teesside in Q4
Mr. Win Viriyaprapaikit, Group CEO and President of Sahaviriya Steel Industries Public Company Limited (SSI), revealed about the Q3/2012 operating result that there was a net loss of THB 4,782 million, comparing to a net loss of THB 5,022 million in Q2/2012 and a net loss of THB 2,965 million in Q3/2011. Group revenue was THB 15,794 million, up 38% q-o-q, the highest revenue in record. HRC Business’s shipment volume also achieved the second highest record of 617 thousand tons, whilst Premium Value Products’ total sales ratio was 36%. Iron and Steel Making Business ‘s capacity utilization was 69% and produced 620 thousand tons of steel slabs which generated THB 2,584 million revenue from sales to third party customers..
“We have been through an extremely difficult market environment in the third quarter. Steel and raw material prices dropped sharply due to ongoing Eurozone issues and China growth slow-down, causing negative margin and stock loss in our main business. Our Iron and Steel Making Business was still in the ramp-up phase and had relatively high production cost. These were the two main factors for our loss in the past quarter.
Remarkably, HRC Business had a stellar quarter in terms of production and sales, in spite of ongoing market dumping of boron-added flat steel products from other countries. Q3 HRC domestic demand was very strong at record 1.65 million tons. We gained market share and our production cost was low due to high productivity, partly thanks to continuous slabs supply from our SSI Teesside plant. Therefore, despite the extremely challenging market environment, we are achieving our operating targets and the synergy from the upstream integration is beginning to be realized. We are on target to achieve highest group revenue of THB 58,000 million this year,” Mr. Win said.
Mr. Win updated on the announced the Comprehensive Financial Plan which will enable SSI and itssubsidiaries to maintain short-term and long-term financial stability. The plan includes the recapitalization of the business – capital increase from issuance of up to 19,000 million new shares at 0.68 baht per share, to be allotted via Private Placements and Rights Offerings. On 6 November, two long-term business partners, JFE Steel Corporation and Marubeni-Itochu Steel Inc., had subscribed for 2,267,816,176 shares resulting in THB 1,542 million of new equity raised.
“The other allotments are currently under execution and we will update again when it is done. Thanks to our business partners and shareholders who believe in our business, our vision and our people, we will regain our financial strength and this will reduce SSI’s financial cost and provide sufficient working capital for future sales growth,” Mr. Win added.
The company forecasts 9.2% growth in Thailand HRC consumption this year to a record 6.4 million tons and overall steel demand to reach a record 16 million tons, driven by resilient domestic economy, government investment spending and growth in key industries such as automobile, energy and construction. Steel and raw material prices had passed the trough in Q3 and began to recover in Q4, with iron ore index climbing up from about US$88/mt at the bottom of the cycle to about US$124/MT CFR China in the recent days. In Q4/2012, the company expected similarly high level of HRC sales and higher capacity utilization of 80% at SSI Teesside plant leading to lower cost and better margin.
เอสเอสไอรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2555
- ขาดทุนสุทธิ 4,782 ล้านบาท เทียบกับขาดทุนสุทธิ 5,022 ล้านบาท ในไตรมาส 2/55
- รายได้รวมของกลุ่ม 15,794 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% จากไตรมาส2/55 สูงสุดในประวัติการณ์
- ยอดส่งเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนถึง 617 พันตัน สูงอันดับสอง
- ยอดผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนสูงสุด12,449 ตันต่อวัน เมื่อวันที่ 20 กันยายน
- สัดส่วนขายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มพิเศษร้อยละ 36% ของยอดขายรวม
- ตามแผนที่จะบรรลุรายได้รวมสูงสุด 5.8 หมื่นล้านบาทปีนี้
- กำลังดำเนินแผนการจัดโครงสร้างทางการเงินแบบเบ็ดเสร็จและแผนเพิ่มทุน สร้างความมั่นคงทางการเงินระยะยาว
- คาดการณ์ไตรมาส 4 ยอดขายสูงเหมือนเดิมและใช้กำลังการผลิตสูงขึ้นที่เอสเอสไอทีไซด์
นายวิน วิริยประไพกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ เอสเอสไอ รายงานผลการดำเนินงานของเอสเอสไอไตรมาสที่ 3/55 มีผลขาดทุนสุทธิ 4,782 ล้านบาท เทียบกับขาดทุนสุทธิ 5,022 ล้านบาท ในไตรมาส 2/55 และขาดทุนสุทธิ 2,965 ล้านบาท ในไตรมาส 3/54 รายได้รวมของกลุ่ม 15,794 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% จากไตรมาส2/55 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อนส่งสินค้าได้มากถึง 617 พันตันและสัดส่วนการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มพิเศษ (Premium Value Products) ร้อยละ 36% ของยอดขายรวม ส่วนธุรกิจโรงถลุงเหล็กที่ประเทศอังกฤษใช้กำลังการผลิตที่ 69% ผลิตเหล็กแท่งแบนได้ 620 พันตัน และสร้างรายได้จากลูกค้าภายนอกเป็นมูลค่า 2,584 ล้านบาท
นายวินกล่าวว่า “ไตรมาส 3ที่ผ่านมาเป็นช่วงภาวะตลาดที่ยากลำบากมากราคาเหล็กและวัตถุดิบลดลง อย่างหนักเนื่องจากความยืดเยื้อของปัญหากลุ่มประเทศอียูและการชะลอตัวการเติบโตของจีน ทำให้เรา มีส่วนต่างราคาสินค้าติดลบและขาดทุนสินค้าคงคลัง ในขณะที่ธุรกิจโรงถลุงเหล็กยังอยู่ในช่วงเริ่มผลิตและยังมีต้นทุนการผลิตที่ค่อนข้างสูง สองปัจจัยหลักนี้ทำให้เราขาดทุนหนักในไตรมาส 3”
“อย่างไรก็ตามในไตรมาสเดียวกัน ธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อนมีผลงานเยี่ยมมากในด้านการผลิตและขาย ถึงแม้ว่าปัญหาการทุ่มตลาดสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนเจือโบรอนและโครเมียมยังคงมีต่อเนื่อง เราสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด ลดต้นทุนการผลิตลงจากผลผลิตที่สูง ส่วนหนึ่งเป็นอานิสงส์มาจากวัตถุดิบเหล็กแท่งแบนที่มีต่อเนื่องมาจากโรงงานเอสเอสไอทีไซด์ ดังนั้น ถึงแม้ว่าภาวะตลาดจะท้าทายมาก เราก็สามารถบรรลุเป้าหมายเชิงปฏิบัติการและผลประโยชน์ร่วมจากการเชื่อมโยงกับธุรกิจต้นนํ้าเริ่มเห็นผล ซึ่งจะส่งผลให้เราสามารถมุ่งไปสู่รายได้สูงสุด 5.8 หมื่นล้านตามแผน”
นายวินเสริมว่า “ตามที่บริษัทได้ประกาศแผนการจัดโครงสร้างทางการเงินแบบเบ็ดเสร็จ (Comprehensive Financial Plan) เพื่อให้บริษัทฯและบริษัทย่อยมีความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว ซึ่งส่วนหนึ่งประกอบด้วยแผนการระดมทุนโดยขายหุ้นสามัญจำนวนประมาณ 19,000 หุ้นที่ราคา 0.68 บาทต่อหุ้น ให้แก่นักลงทุนเฉพาะเจาะจงและนักลงทุนทั่วไปนั้น เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน บริษัทพันธมิตรทางธุรกิจ 2 ราย ได้แก่ เจเอฟอี สตีลคอร์ปอเรชั่น และ มารูเบนิ อิโตชู สตีล ได้เข้าจองซื้อหุ้นจำนวน 2,267,816,176 หุ้น เป็นจำนวนเงิน 1,542 ล้านบาท”
“บริษัทอยู่ระหว่างการดำเนินการในการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนในส่วนอื่นและจะรายงานอีกครั้งเมื่อดำเนินการเสร็จสิ้น ทั้งนี้บริษัทขอขอบคุณคู่ค้าและผู้ถือหุ้นที่ให้ความเชื่อมั่นในธุรกิจของบริษัท วิสัยทัศน์ทางธุรกิจ และคนของเรา การเพิ่มทุนครั้งนี้ทำให้เรามีความแข็งแกร่งทางการเงินกลับมา ต้นทุนทางการเงินลดลง เงินทุนหมุนเวียนเพิ่มมากขึ้นเพื่อรองรับยอดขายที่กำลังเติบโต”
สำหรับแนวโน้มอุตสาหกรรมเหล็กนั้น บริษัทคาดการณ์การบริโภคเหล็กแผ่นรีดร้อนในประเทศปีนี้เติบโต 9.2% ถึง 6.4 ล้านตันซึ่งเป็นปริมาณสูงสุดในประวัติการณ์ และความต้องการใช้เหล็กทุกประเภทภายในประเทศที่ 16 ล้านตันซึ่งเป็นสถิติสูงสุดเช่นเดียวกัน สืบเนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศที่เข้มแข็ง การลงทุนจากภาครัฐ การเติบโตของอุตสาหกรรมสำคัญ อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ พลังงาน และก่อสร้าง ในขณะที่ราคาเหล็กและวัตถุดิบได้ผ่านจุดตํ่าสุดในไตรมาส 3 และเริ่มฟื้นตัวในไตรมาส 4 โดยเฉพาะราคาแร่เหล็กได้ฟื้นตัวจากราคาประมาณ US$ 88 ต่อตัน CFR China ณจุดตํ่าสุดมาที่ประมาณ US$124 ต่อตัน CFR China เมื่อเร็วๆนี้ สำหรับการดำเนินงานในไตรมาส 4 บริษัทคาดการณ์ว่า ยอดขายเหล็กแผ่นรีดร้อนคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องและใช้กำลังการผลิตโรงถลุงเหล็กที่โรงงานเอสเอสไอทีไซด์สูงขึ้นที่ 80%