ไตรมาส 4/2555
- รายได้ขายและบริการ 17,599 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์รายไตรมาส
- ปริมาณขายเหล็ก 811 พันตัน จากเหล็กแผ่นรีดร้อน 647 พันตัน และเหล็กแท่งขายลูกค้าภายนอก 164 พันตัน หรือ ร้อยละ 25 ของปริมาณขายเหล็กแท่งรวม
ประจำปี 2555
- รายได้ขายและบริการ 60,604 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพิ่มจากปี 2554 ร้อยละ 26
- โรงถลุงเริ่มผลิตล่าช้า-ต้นทุนผลิตสูงช่วงเริ่มผลิต-ขาดทุนราคาเหล็ก มีผลขาดทุน 15,903 ล้านบาท
- ยอดขายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มพิเศษ ร้อยละ 37 ปริมาณขายเพิ่มขึ้นเป็น 803 พันตัน
- อุปกรณ์ PCI โรงงานเอสเอสไอ ทีไซด์ เริ่มใช้ไตรมาส 2/2556 ลดต้นทุน 30 เหรียญสหรัฐต่อตัน
- เพิ่มทุนและขายทรัพย์สินได้เงินแล้ว 7,752 ล้านบาท เดินหน้าระดมครบเป้า 13 พันล้านบาท
- สเกลธุรกิจใหญ่ขึ้น-ต้นทุนลด-มาร์จิ้นเพิ่ม หนุนธุรกิจโตรับตลาดเหล็กดีปี 2556
- ตลาดเหล็กกลับสู่ปกติ แนวโน้มราคาขาขึ้น ปี 2556 ความต้องการในประเทศ 17.5 ล้านตัน
บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ เอสเอสไอ รายงานผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 4 ปี 2555 ว่า บริษัทฯและบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายและบริการ 17,599 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 13,008 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 35 จากงวดเดียวกันของปีก่อน เป็นรายได้รายไตรมาสสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากการขายเหล็กรวม 811 พันตัน ประกอบด้วย 1) เหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน 647 พันตัน ซึ่งเป็นปริมาณขายสูงสุดเป็นอันดับสองรองจากไตรมาส 1/2553 และ 2) เหล็กแท่งแบนที่ขายบุคคลภายนอก 164 พันตัน หรือ คิดเป็นร้อยละ25 จากปริมาณขายเหล็กแท่งแบนทั้งหมด มี EBITDA ติดลบ 2,078 ล้านบาท และมีผลขาดทุนสุทธิ จำนวน 3,259 ล้านบาท เทียบกับขาดทุนสุทธิ 4,782 ล้านบาทในไตรมาส 3/2555 และ EBITDA ติดลบ1,985 ล้านบาท ขาดทุน 2,376 ล้านบาทในไตรมาส 4/2554
สำหรับผลการดำเนินงานงวด 1 ปี 2555 บริษัทฯและบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายและบริการรวม 60,604 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 47,975 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 26 และมีผลขาดทุนสุทธิ จำนวน 15,903 ล้านบาท เทียบกับขาดทุนสุทธิ 981 ล้านบาทในปี 2554
สาเหตุที่การดำเนินงานของบริษัทมีผลขาดทุน เนื่องจากความล่าช้าของการเริ่มดำเนินการผลิตของธุรกิจโรงถลุงเหล็ก ต้นทุนการผลิตของโรงถลุงเหล็กยังสูงเนื่องจากการผลิตยังไม่ถึงระดับที่เหมาะสม การลดลงของราคาเหล็กในตลาดโลกทำให้ขาดทุนจากมูลค่าสินค้าลดลง และ การตั้งสำรองจากภาระผูกพันตามสัญญาซื้อวัตถุดิบ แต่ท่ามกลางตลาดที่ท้าทายนี้บริษัทสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด สร้างยอดขายได้สูงกว่าปี 2554 ถึงร้อยละ 26 เนื่องจากเริ่มได้รับผลประโยชน์ร่วมจากการเชื่อมโยงกับธุรกิจต้นนํ้า หรือ โรงงานเอสเอสไอ ทีไซด์
ธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อน มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 48,470 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 29 จากปีก่อน ขาดทุนสุทธิ1,655 ล้านบาท มียอดขายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มพิเศษ (Premium Value Product) ร้อยละ 37 ส่วนธุรกิจโรงถลุงเหล็ก ขาดทุนสุทธิ 14,194 ล้านบาท เนื่องจากผลผลิตยังต่ำ ธุรกิจท่าเรือน้ำลึก กำไรสุทธิ 155 ล้านบาท ธุรกิจวิศวกรรมและซ่อมบำรุง กำไรสุทธิ 45 ล้านบาท ธุรกิจเหล็กแผ่นรีดเย็น กำไรสุทธิ 192 ล้านบาท
นายวิน วิริยประไพกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสเอสไอ กล่าวว่า “ปี 2555 เป็นปีที่ยากลำบากมากสำหรับอุตสาหกรรมเหล็กทั่วโลก สืบเนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจโลก บริษัทเหล็กและเหมืองแร่ทั่วโลกต่างประสบภาวะขาดทุนกันถ้วนหน้า ซึ่งเป็นช่วงจังหวะที่ไม่ดีสำหรับการเริ่มต้นการผลิตโรงถลุงของเรา บริษัทฯประสบภาวะขาดทุนหนักจากค่าใช้จ่ายก่อนเริ่มผลิต ผลผลิตต่ำในช่วงเริ่มผลิต และขาดทุนราคาเหล็ก แต่อย่างไรก็ตาม เราสามารถทำยอดขายเหล็กแผ่นรีดร้อนได้สูงมาก โดยเฉพาะในครึ่งปีหลัง และสามารถขยายส่วนแบ่งตลาดได้มาก การผลิตที่โรงงานทีไซด์และโรงงานบางสะพานแนวโน้มดีขึ้นเรื่อยๆ และเราเริ่มเห็นผลประโยชน์ร่วมจากการเชื่อมโยงธุรกิจแนวดิ่งแล้ว
นอกเหนือจากนั้น บริษัทฯได้รับการสนับสนุนจากผู้มีส่วนได้เสียและพันธมิตรเป็นอย่างดี จนถึงวันนี้บริษัทฯได้ระดมทุนถึง 6,184 ล้านบาทจากการขายหุ้นเพิ่มทุนและ 1,568 ล้านบาทจากการขายทรัพย์สิน และบริษัทฯจะเดินหน้าดำเนินการตาม”แผนการเพิ่มทุนและจัดโครงสร้างทางการเงินแบบเบ็ดเสร็จ” เพื่อระดมทุนเพิ่มเติมและเสริมความแข็งแกร่งทางการเงินต่อไป
หลังจากปลายปีที่ผ่านมา ตลาดเหล็กปัจจุบันกลับมาเป็นขาขึ้นหลังจากซบเซามานาน 6 เดือน ภาวะปัจจัยภายนอกดี – ความต้องการใช้เหล็กในประเทศสูง อุตสาหกรรมเหล็กมีมาร์จิ้นดีขึ้นปีนี้ ในขณะที่เรามีปัจจัยภายใน 3 รายการใหญ่ๆที่จะขับเคลื่อนบริษัทฯไปในทางบวกในปีนี้ 1) สเกลธุรกิจที่ใหญ่ขึ้น จากการใช้กำลังการผลิตสูงขึ้นที่โรงงานทั้ง 2 โรง 2) ต้นทุนการผลิตเหล็กแท่งที่จะลดลง หลังโครงการ PCI เริ่มใช้งานในไตรมาส 2 3) มาร์จิ้นสูงขึ้น จากสัดส่วนสูงขึ้นของผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มพิเศษ” นายวินกล่าว
บริษัทคาดการณ์ว่าการบริโภคเหล็กในปี 2556 จะปรับตัวสูงขึ้นจากความชัดเจนของมาตรการแก้ไขการคลี่คลายปัญหาเศรษฐกิจโลก สถาบันเหล็กโลก (World Steel Association: WSA) ได้ประเมินว่า ในปี 2556 ความต้องการเหล็กของโลกจะขยายตัวร้อยละ 3.2 หรือเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 1,455 ล้านตัน โดยจีนจะยังคงเป็นผู้บริโภคเหล็กรายใหญ่ของโลก โดยภูมิภาคอาเซียนนั้น คาดการณ์อัตราการเติบโตของปริมาณการใช้เหล็กร้อยละ 3.3 หรือเพิ่มขึ้นเป็น 56.5 ล้านตัน ส่วนอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศนั้น สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย (ISIT) คาดการณ์ว่าความต้องการเหล็กในประเทศในปี 2556 จะขยายตัวในอัตรา ร้อยละ 7.2 หรือมีความต้องการประมาณ 17.5 ล้านตัน โดยความต้องการของเหล็กทรงแบนที่ใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์จะเพิ่มขึ้น จากนโยบายรถคันแรกของรัฐบาลที่ยังมีรถยนต์ค้างส่งมอบ และในส่วนของเหล็กสำหรับการก่อสร้าง คาดว่ามีความต้องการเพิ่มขึ้นเนื่องจากภาคอสังหาริมทรัพย์และภาคการก่อสร้างจะมีการขยายตัวตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของภาครัฐ
Sahaviriya Steel Industries Plc. reveals its 2012 operating result
Q4/2012
- Total THB 17,599 million revenue from sales and services, the highest recorded quarterly amount
- Steel sales volume at 811 thousand tons: HRC sales volume 647 thousand tons, slab sales 164 thousand tons for external customers or 25% of overall steel slab sales
Year 2012
- Total THB 60,604 million revenue from sales and services, the highest revenue, a-26% increase from 2011
- THB 15,903 million net loss due to the delay of SSI Teesside start-up – high production cost during ramp-up –stock loss
- Premium Value Product sales volume at 803 thousand tons, a-37% increase of sales ratio
- Pulverized Coal Injection (PCI) equipment, which can reduce fuel cost by USD 30/ton, will be commissioned within Q2/2013
- Raised THB 6,184 million in new equity and THB 1,568 million from asset sale, expected to reach THB 13 billion
- Higher economy of scale – lower cost – healthier margin: key business drivers of SSI in 2013
- Steel market back to normal, price up trend, domestic demand growth to 17.5 million tons
Sahaviriya Steel Industries Public Company Limited (SSI) revealed its Q4/2012 operating result with total revenue of THB 17,599 million from sales and services, a-35% increase QoQ from THB13,008 million in Q4/2011. This is the highest revenue of its quarterly operation due to the increasing sales volume from HRC Business and Iron and Steel Making Business, with HRC sales 647 thousand tons, 2nd highest record and slab sales 164 thousand tons for external customers, with EBITDA of THB -2,078 million. There was a net loss of THB 3,259 million while in Q3/2012 the Company had a net loss of THB 4,782 million, EBITDA of THB -1,985 million and THB 2,376 million in Q4/2011.
In 2011, the Company and its subsidiaries achieved total revenue of THB 60,604 million, highest record, which was 26% up QoQ from THB 47,975 million and a net loss of THB 15,903 million while there was a net loss of THB 981 million in 2011.
The causes of 2012 loss were the delay of SSI Teesside Plant start-up, high production cost, as the production was not yet at the optimal level, the decrease of steel price in global market affected the stock loss and the setting up of additional provision on loss from diminution in value of inventories and on loss under onerous contract. However, because stable supply of its own raw material, SSI could overcome these challenges, increase its market share and add 26% of sales volume from 2011.
HRC Business gained total revenue of THB 48,470 million from sales and services, a-29% increase QoQ and a net loss of THB 1,655 million. The Premium Value Products sales ratio was 37%. Iron and Steel Making Business had a net loss of THB 14,194 million due to the still low production volume. Deep Sea Port Business recorded THB 155 million net profit. Cold Rolled Coil Business had a net profit of THB 192 million.
Mr. Win Viriyaprapaikit, Group CEO and President of SSI, stated that “2012 was a very difficult year for the global steel industry, mainly due to global economic problems. Mining and steel companies worldwide suffered en masse. It was unfortunate timing for our SSI Teesside Plant start-up. We suffered big losses from pre-operation expenses, low production during ramp-up and declining steel price. In spite of this, our HRC sales were very strong, particularly in the second half of the year, and we increased our market share; production performance at both our Teesside Plant and Bangsaphan Plant improved steadily; the synergy from vertical integration begun to bear fruit.”
“In addition, we had strong support from our stakeholders and partners. To date, we have so far raised THB 6,184 million in new equity and THB 1,568 million from asset sales. We will continue to carry out the Comprehensive Financial Plan to raise additional capital and shore up our financial strength,” Mr. Win said.
“The market now has completely turned around from a 6-month trough since the end of the year. The external environment is good – domestic demand is strong and steel industry margin is healthier this year. Internally, we have 3 major positive drivers going forward: 1) higher economy of scale from yet higher utilization of our two plants, 2) lower slab cost from the PCI project, to be commissioned in Q2/2013, and 3) higher margin as our products portfolio moves toward higher Premium Value Products ratio,” Mr. Win added.
The Company expects global steel demand in 2013 to rise, as the global economy recovers. According to the World Steel Association (WSA), in 2013 the global steel demand will expand 3.2% or 1,455 million tons and China will still be the main steel consumer. As for ASEAN, the steel consumption is expected to grow 3.3% to 56.5 million tons. Iron and Steel Institute of Thailand, (ISIT) estimated that the domestic steel demand in 2013 will be approximately 17.5 million tons, a-7.2% increase. The demand of flat steel for automobile industry will rise because of remaining undelivered cars from first car policy. Moreover, the demand for construction steel is expected to increase, as real estate and construction industry will expand due to the government’s policy to boost the economy and investments.